เนื่องจากนโยบายใหม่ของ Donald Trump ที่ประกาศห้ามการนำเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Laptop) และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่ามือถือขึ้นบนเครื่องบิน ถ้าเป็นเที่ยวบินเข้าสู่อเมริกาจากประเทศในตะวันออกกลางหลายประเทศ (ดูรายการข้างล่าง)
With Trump’s new policy, no carry-on Laptop (and devices that larger than Phone) when fly to the US from selected Airports (mostly from Middle East, see a list below). Microsoft should see this as an opportunity. Make a “Windows to Go” (WTG) as a ready to use Windows 10 in a Flash Drive. Just buy it at Airport Kiosk, open and plug to any computer at the Airport. With a few steps of configuration, user will get a complete set of Windows to use. In the WTG package, it may pack with a current version of Microsoft Office that user can activate with their subscriptions, and/or option to activate as new customer. This way user no need to carry any laptop around, get healthier for no need to carry heavy laptop. This WTG can be re-use and work everywhere.
ทำให้ผมคิดว่า Microsoft น่าจะถือเอาเรื่องนี้เป็นโอกาสอันดีทีจะทำเงินมากขึ้น ด้วยการเตรียม “Windows To Go” (WTG) ที่เป็น Windows แบบพร้อมใช้ในแฟลชไดรฟ์ (Flash Drive) นักเดินทางจากหรือในประเทศที่อยู่ในรายการที่โดนห้าม เพียงแค่ซื้อแฟลชไดรฟ์อันนี้ที่เคาน์เตอร์ขายสินค้าในสนามบิน แกะกล่องออกมา เสียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ ตั้งค่าเล็กน้อยก็สามารถที่จะมี Windows 10 สำหรับพร้อมใช้งานในทันที และในแฟลชไดร์ฟ อาจจะติดตั้ง Microsoft Office รุ่นล่าสุดมาให้พร้อมกันเลย แล้วให้ผู้ใช้ลงทะเบียนใช้งานจากสมาชิกที่มีอยู่แล้ว (Subscriptions) หรือว่าซื้อและจ่ายเงินเพื่อเป็นสมาชิกได้ในทันที เพียงแค่นี้ก็ตัดปัญหาการที่จะต้องเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นเครื่องบินไม่ได้อีกต่อไป (และแถมยังสุขภาพดีไม่ต้องแบกคอมพิวเตอร์ให้หนักอีกด้วย) และเจ้า WTG ก็สามารถใช้งานซ้ำได้ ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ตลอด ๆ
To make it even more success, Microsoft might make a deal with Airports to Install Computer CPU with Internet ready, no hard drive in it. This is mean no Windows, no OS. Simply have the computer ready for “WTG” customer to use. This will be a “Happy Ending”. Make more money.
*If you don’t know what is Windows To Go? Please talk to IT guy near you.
และเพื่อเพิ่มโอกาสมากขึ้น Microsoft น่าจะไปติดต่อกับสนามบินต่าง ๆ เพื่อขอติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีแค่ ซีพียู (CPU), คีย์บอรด์, เมาส์ และจอภาพ พร้อมกับมีอินเตอร์เน็ต (Internet) ที่พร้อมใช้งาน แต่ไม่มีฮาร์ดไดร์ฟ (Hard drive) ที่บรรจุ Windows หรือ OS ใด ๆ เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์ที่พร้อมใช้สำหรับลูกค้าที่ซื้อ WTG ไปแล้วเท่านั้นเอง เพียงแค่นี้ก็ จบบริบรูณ์ รับทรัพย์กันไป
*ถ้าคุณยังไม่รู้หรือเข้าใจว่า Windows To Go คืออะไร ลองปรึกษาทีมงาน IT ใกล้ตัวดูนะครับ
List of ban Airport.
Queen Alia International Airport (AMM), Amman Jordan
Cairo International Airport (CAI), Cairo, Egypt
Ataturk International Airport (IST), Istanbul, Turkey
King Abdul-Aziz International Airport (JED), Jeddah, Saudi Arabia
King Khalid International Airport (RUH), Riyadh, Saudi Arabia
Kuwait International Airport (KWI), Kuwait City, Kuwait
Mohammed V Airport (CMN), Casablanca, Morocco
Hamad International Airport (DOH), Doha, Qatar
Dubai International Airport (DXB), Dubai, UAE
Abu Dhabi International Airport (AUH), Abu Dhabi, UAE
ผมได้เขียนข่าวและเทคนิคการเปิดใช้งาน Two-Step Verification เอาไว้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2556 ซึ่งในตอนนั้น Apple ที่เป็นช่วงเริ่มต้นการใช้งานความสามารถนี้ ทาง Apple เปิดให้ใช้งานได้กับ Apple ID ของประเทศ US, UK, Australia, Ireland และ New Zealand เท่านั้น
Two-Step Verification เป็นระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ Apple ID ผมขอแนะนำให้ผู้ใช้ทุก ๆ ท่านเปิดใช้งานกันวันนี้เลย เพื่อความปลอดภัยของ Apple ID ของคุณเอง
ถ้าคุณยังไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าจะเปิดใช้งานได้อย่างไร แนะนำให้อ่านบทความที่ผมเขียนเอาไว้เมื่อปีที่แล้วได้ด้วยการคลิกเบา ๆ ที่ลิงค์ต่อไปนี้ Apple เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้ Apple ID
ระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple ID คือสิ่งที่ผมเคยได้ยินบางคนบ่น ๆ มาบ้าง เพราะว่ามันยุ่งยากที่จะต้องจำ “คำถาม 3 คำถาม” (Security Questions) ที่จะใช้ในการปลดล๊อค Apple ID ในเวลาที่ลืมรหัสผ่านหรือล๊อคอิน (Login) เข้า Apple ID ไม่ได้
ซึ่งแม้ว่าจะมีตัวเลือกคำถาม 3 คำถามแล้ว ระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple ID ก็ยังไม่ค่อยจะเข้มแข็งเท่าใดนัก ดังนั้น Apple จึงได้เพิ่มระบบการรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเอาระบบการยืนยัน 2 ขั้นตอน ที่เรียกว่า Two-step verification มาใช้งาน (ผมขอเรียกว่า Two-step verification เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ)
รูปแบบการทำงาน
เมื่อเราได้เปิดระบบ two-step verification มาใช้งาน ซึ่งเราจะต้องทำการยืนยันด้วยรหัส 4 ตัวที่ทาง Apple จะส่งมาให้ผ่านทาง Find my iPhone หรือด้วย SMS เมื่อยืนยันแล้ว ถ้าคุณล๊อคอินเข้าไปที่ Apple ID หรือว่าทำการซื้อ App (เพลง,หนัง) ผ่านทาง App Store/iTune Store คุณจะต้องพิมพ์รหัสผ่าน (Password) และรหัส 4 ตัวที่ทาง Apple ส่งให้ เพื่อทำการยืนยัน
หลังจากขั้นตอนการยืนยันผ่านไปแล้ว การเข้าไปที่ Apple ID หรือซื้อ App ครั้งต่อ ๆ ไปก็จะสามารถทำได้ตามต้องการ ซึ่งถ้าคุณไม่ใส่รหัสผ่านและรหัส 4 ตัวนี้ คุณจะไม่สามารถเข้าทำการใด ๆ กับ Apple ID ของคุณได้
นอกจากนี้แล้วคุณยังจะได้รับรหัสพิเศษอีก 1 ชุดที่จะเป็นอักษร 14 หลัก ซึ่งเรียกว่า Recovery Key ที่คุณควรจะพิมพ์หรือจดบันทึกเอาไว้ในที่ที่ปลอดภัย รหัส 14 หลักนี้ จะเป็นรหัสที่คุณต้องนำมาใช้ในการยืนยันความเป็นเจ้าของ Apple ID ของคุณ ในกรณีที่คุณอาจจะลืมรหัสต่าง ๆ ข้างต้น หรือกรณีที่โดนแฮ๊ก Apple ID ไป
แล้วถ้าเป็นเครื่อง Mac ก็จะสามารถเปิดรูปเหล่านั้นได้ทันทีเช่นเดียวกันผ่านทางโปรแกรม iPhotos และยังสามารถโอนรูปจากในเครื่อง Mac ขึ้นสู่ Photo Stream เพื่อให้เครื่อง iPhone, iPad สามารถเปิดได้เช่นกัน แต่…. สำหรับ PC ที่ใช้ Windows ณ วันนั้น Steve Jobs ยังไม่ได้บอกว่าจะมีวิธีการจัดการรูปจาก Photo Stream อย่างไร??
เวลาผ่านไป 1 ปี 5 เดือน วันนี้ Apple ได้ update ฟังก์ชัน iCloud รุ่น 2.0 สำหรับ Windows ที่เพิ่มความสามารถ Photo Stream มาให้เรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสนำมาแนะนำครับ
รูปที่ 1
ฟังก์ชัน iCloud จะถูกติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของ Control Panel ซึ่งคุณสามารถเข้าไปได้ด้วยวิธีการนี้ คลิกที่ Start -> Settings -> Control Panel (สำหรับ Windows XP) หรือ Start -> Control Panel (สำหรับ Windows Vista, Windows 7). เมื่อเข้าไปแล้วก็จะพบกับหน้าต่างของ iCloud 2.0 ตามรูปที่ 1