Recent Posts

OneDrive Number

บทความนี้เขียนขึ้นมาแบบที่ผมต้องตั้งสติ และตั้งใจเขียนมาก ๆ เพราะมันอธิบายได้ไม่ง่ายเลย มีรายละเอียดที่จะต้องอธิบายดี ๆ ชัด ๆ โดยหวังว่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด

เราอยู่ในยุคของการจัดเก็บไฟล์ไว้ในพื้นที่จัดเก็บแบบ Online ทีเรียกกันว่า Cloud ที่มีหหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายผู้ให้บริการซึ่งทำให้เราจะต้องปรับตัว ปรับความคิด ความเข้าใจกันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หัวเรื่องผมเขียนว่าเป็น OneDrive Number แต่บทความนี้มิได้จะเฉพาะหรือจำกัดอยู่ที่ Microsoft OneDrive เท่านั้น หลักการและแนวทางที่ผมเขียนนี้ สามารถใช้ได้หมดกับ Dropbox หรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายการจัดเก็บแบบนี้

Microsoft OneDrive

เวลาที่เราใช้ OneDrive ตามปกติเราก็จะติดตั้งโปรแกรม OneDrive เอาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งจะช่วยจัดการการเก็บและโอนไฟล์ขึ้นไปไว้ในพื้นที่จัดเก็บบน Cloud ให้เราแบบอัตโนมัติในทุกครั้งที่เราสร้างไฟล์ใหม่ หรือแก้ไขไฟล์ที่เรามีอยู่แล้ว เพื่อที่จะให้ไฟล์ต่าง ๆ นั้นปลอดภัย ไม่หายไป ถ้าเกิดกรณีที่ดิสค์ (HDD/SSD) ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เสียหายไป

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไปก็มักจะสร้างชื่อไฟล์ยาว ๆ และเก็บไว้ในโฟลเดอร์ (Folder) ที่มีชื่อยาว ๆ เหมือนกัน และอาจจะยังมีโฟลเดอร์ซ้อนกันหลาย ๆ ชั้นเข้าไปอีก ซึ่งก็จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้

แต่ก่อนที่จะเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจกับการจัดเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์เสียก่อน ย้อนกลับไปไกลถึงเรื่องพื้นฐานของเลขฐาน 2 กันเลยทีเดียว เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว ระบบคอมพิวเตอร์จะเก็บทุกอย่างอยู่ในรูปแบบของเลขฐาน 2 ที่มีแค่ 0 กับ 1 เช่น ตัวอักษร S ที่เราเห็น แท้ที่จริงแล้วคอมพิวเตอร์จะเก็บเอาไว้ในแบบเลขฐาน 2 คือ 01010011 ซึ่งก็คือเลข 0 และ 1 รวมกัน 8 ตัว ซึ่งเท่ากับเท่ากับ 8 bits

และต่อเนื่องจากเรื่องนี้ ก็ต้องพูดถึงของข้อจำกัดของระบบปฎิบัติการ (Operating Systems) โดยเฉพาะ Microsoft Windows ที่มีข้อจำกัดของเรื่องของความยาวของชื่อโฟล์เดอร์ ชื่อไฟล์ ที่รองรับได้สูงสุดที่ 256 ตัวอักษร หรือ 2 ยกกำลัง 8 (28)

จากข้อกำหนดของ 2 ยกกำลัง 8 (28) ลองมาคิดกันต่ออีกนิด สมมุติว่าคุณมีไฟล์ชื่อ

WHO Interim policy 5 items 280159_ENG AI.docx

ลองมองและนับดู ชื่อไฟล์นี้ก็น่าจะมีความยาวเท่ากับ 39 ตัวอักษร ถ้าคุณตอบว่าใช่ คำตอบนั้นคือผิด เพราะว่าระบบการจัดเก็บไฟล์ไว้บน Cloud แท้ที่จริงก็คือไฟล์ที่อยู่บน Internet แล้วจะต้องสามารถให้เราหรือผู้ใช้งานเรียกใช้งานได้ด้วยการคลิกที่ลิงค์ เพื่อเข้าถึงไฟล์ได้ด้วย ซึ่งปัญหาก็อยู่ตรงนี้ ผมขอบอกว่าชื่อไฟล์ข้างบนไม่ใช่ 39 ตัวอักษรอย่างที่เรามองเห็น

เพราะว่า ช่องว่างที่เว้นไว้ระหว่างคำ ในการเก็บหรืออ้างอิงถึงไฟล์แบบลิงค์บน Internet นั้นจะกลายเป็น

WHO%20Interim%20policy%205%20items%20280159_ENG%20AI.docx

จึงทำให้ชื่อไฟล์ที่เราเห็นว่ามี 39 ตัวอักษร แท้ที่จริงแล้วคือ 57 ตัวอักษร เพราะทุก ๆ 1 ช่องว่างระหว่างคำ แท้ที่จริงแล้วมันจะถูกแทนด้วย %20 ในทุก ๆ จุด

ตรงนี้ผมไม่ได้คิดไปเอง นี่คือข้อกำหนดของ w3c ว่าด้วยเรื่อง “ASCII Encoding Reference” กำหนดเอาไว้เป็นมาตรฐานของ Open Web Platform ที่สามารถไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ www.w3schools.com/tags/ref_urlencode.asp

จากมาตรฐานนี้เอง ให้ลองนึกภาพว่าถ้าคุณมีชื่อโฟลเดอร์ยาว ๆ มีเว้นวรรค แล้วซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น แล้วยังมีชื่อไฟล์เอกสารยาว ๆ อีกด้วย พอถึงจุดหนึ่ง ไฟล์หรือโฟล์นั้นก็จะไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือไม่สามารถเปิดไฟล์ได้ในที่สุด ซึ่งตรงนี้มีผลไปถึงการใช้งาน Cloud Storage ด้วย

ลองดูตัวอย่างนี้ ถ้าผมมีชื่อโฟล์เดอร์และไฟล์ยาว ๆ แบบนี้

ถ้าเอามานับจำนวนตัวอักษรทั้งหมดที่รวม %20 ที่หมายถึงช่องว่าระหว่างคำนั้น ก็จะได้ความยาวเท่ากับ 292 ตัวอักษร เกินข้อจำกัดที่ 256 ตัวอักษรไปไกลแล้ว ซึ่งจะทำให้ไฟล์นี้อาจจะเปิดไม่ได้เลย รวมถึงจะไม่สามารถ upload ขึ้นไปบน Cloud ได้ด้วย

สิ่งที่คุณต้องทำ เพื่อทีจะไม่ใช้เกิดปัญหานี้ก็คือ ถ้าคุณจำเป็นจะต้องตั้งชื่อไฟล์หรือชื่อโฟลเดอร์แบบยาว ๆ ให้เปลี่ยนช่องว่างระหว่างคำ ให้เป็นเครื่องหมายขีดกลาง – หรือ Hyphen แทน ซึ่งจะทำให้แทนที่จะใช้ 3 ตัวอักษร ก็จะกลายมาเป็น 1 ตัวอักษรแทน ซึ่งทำให้ความยาวของโฟล์เดอร์และไฟล์เดียวกัน แทนที่จะเป็น 292 ตัวอักษร ก็กลายมาเป็น 242 ตัวอักษรในทันที

แต่คำแนะนำที่ดีที่สุด ก็คือไม่ควรที่จะสร้างโฟล์เดอร์ซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น และควรจะตั้งชื่อโฟลเดอร์และชื่อไฟล์ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ถ้าคุณมาถึงจุดนั้นแล้ว ชื่อโฟล์เดอร์หรือชื่อไฟล์มีความยาวรวมกันแล้วเกิน 256 ตัวอักษรไปไกลมาก ๆ แล้วในที่สุดคุณก็เปิดไฟล์หรือโฟล์เดอร์ไม่ได้อีกต่อไป แล้วจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เพราะถ้าคุณเข้าไปที่โฟล์เดอร์นั้นไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถที่จะย้ายให้มันไปอยู่ที่จุดอื่น ๆ ที่มีชื่อโฟลเดอร์ที่สั้นกว่าได้ เอาหละสิ…

แต่ผมมีทางออกให้ อาศัยคำสั่งโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัย DOS (Disk Operating System) ที่มาถึง Microsoft Windows 11 แล้ว คำสั่งนี้ก็ยังไม่ได้ถูกตัดทั้งไป และผมก็ยังใช้มันอยู่เรื่อย ๆ คำสั่งนี้คือ Subst ที่ผมไม่รู้ว่ามันย่อมาจากคำเต็ม ๆ ว่าอะไร แต่ก็ได้ใช้งานคำสั่งนี้มานานาน จนจำไม่ได้ว่ากี่ปีแล้ว รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้

ซึ่งสามารถใช้จำลองชื่อโฟล์เดอร์ยาว ๆ ให้กลายมาเป็น Drive ใหม่ขึ้นมา ทำให้เราตัดข้ามความยาวของโฟล์เดอร์ต่าง ๆ ไปเลย ไปนับกันที่ 1 ใหม่จากจุดที่เราต้องการ สมมติว่าคุณเข้าไปอ่านข้อมูลได้แค่ที่โฟลเดอร์นี้

“D:\iamSK\Project Managements\04. Technical and Programmatic\02. Workplanning and Adaptive Management\01. Project Branding and Marking\02. Comms Products\”

ที่จุดที่ลึกไปกว่านี้คุณไม่สามารถเปิดเข้าไปได้แล้ว ตรงนี้คำสั่ง Subst จะกลายมาเป็นพระเอกของเรา ให้คุณออกไปที่ Command Prompt แล้วพิมพ์คำสั่งตามนี้

Subst X: “D:\iamSK\Project Managements\04. Technical and Programmatic\02. Workplanning and Adaptive Management\01. Project Branding and Marking\02. Comms Products\”

*ให้สังเกตุว่าชื่อโฟล์เดอร์ทั้งหมด อยู่ในหรือครอบเอาไว้ด้วยเครื่องหมายคำพูด ” …. ” เพราะว่าชื่อโฟล์เดอร์มีเว้นช่องว่าง จึงต้องใส่เครื่องหมายคำพูดครอบเอาไว้ทั้งหมด ให้ DOS เข้าใจว่านี่คือคำหรือประโยคยาว ๆ ประโยคเดียว

ซึ่งแปลได้ว่า ให้เอาชื่อโฟล์เดอร์ “D:\iamSK\Project Managements\04. Technical and Programmatic\02. Workplanning and Adaptive Management\01. Project Branding and Marking\02. Comms Products\” ยาว ๆ อันนี้ จำลองให้กลายมาเป็น Drive X แล้วก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงไฟล์หรือโฟลเตอร์ที่อยู่ในระดับที่ลึกลงไปได้แล้ว

จากนั้นคุณก็จะสามารถย้ายโฟล์เดอร์และไฟล์ที่อยู่ลึก ๆ นั้น ให้ไปอยู่ในจุดอื่น ๆ ที่ไม่ซ้อนลึกจนเกินไป ด้วยการใช้คำสั่ง Cut , Paste ได้ตามปกติ ซึ่งก็จะทำให้สามารถแก้ปัญหานี้ได้ในที่สุด

ซึ่งตัว X Drive ที่เราสร้างด้วยคำสั่ง Subst นี้จะใช้งานได้ชั่วคราว จะหายไปเมื่อคุณทำการ Restart คอมพิวเตอร์ หรือพิมพ์คำสั่ง

Subst X: /D

เพื่อทำการลบ Drive X ทิ้งไป

บทความนี้ค่อนข้างยาว ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ของคนที่อาจจะเจอปัญหาของชื่อโฟล์เดอร์และชื่อไฟล์ยาว ๆ แล้วเข้าถึงไม่ได้ และยังมีเทคนิคในการตั้งชื่อไฟล์ให้สั้นลงด้วยการไม่ใช้ช่องว่าง โดยให้แทนด้วยเครื่องหมาย ขีดกลาง – หรือ Hyphen ก็จะช่วยลดความยาวของชื่อโฟลเดอร์ หรือชื่อไฟล์ได้

แต่ผมมีคำถามต่อ… แล้วถ้าเราใช้เครื่องหมายขีดเส้นใต้ _ หรือ Underline แทน เครื่องหมาย ขีดกลาง – หรือ Hyphen หละ มันจะเป็นอย่างไร ควรหรือไม่ควรทำ? ลองคิดหาคำตอบดูนะครับ

–iamSK

Trump’s no carry-on Laptop Policy; Great Opportunity for Microsoft.

เนื่องจากนโยบายใหม่ของ Donald Trump ที่ประกาศห้ามการนำเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Laptop) และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่ามือถือขึ้นบนเครื่องบิน ถ้าเป็นเที่ยวบินเข้าสู่อเมริกาจากประเทศในตะวันออกกลางหลายประเทศ (ดูรายการข้างล่าง)

With Trump’s new policy, no carry-on Laptop (and devices that larger than Phone) when fly to the US from selected Airports (mostly from Middle East, see a list below). Microsoft should see this as an opportunity. Make a “Windows to Go” (WTG) as a ready to use Windows 10 in a Flash Drive. Just buy it at Airport Kiosk, open and plug to any computer at the Airport. With a few steps of configuration, user will get a complete set of Windows to use. In the WTG package, it may pack with a current version of Microsoft Office that user can activate with their subscriptions, and/or option to activate as new customer. This way user no need to carry any laptop around, get healthier for no need to carry heavy laptop. This WTG can be re-use and work everywhere.

ทำให้ผมคิดว่า Microsoft น่าจะถือเอาเรื่องนี้เป็นโอกาสอันดีทีจะทำเงินมากขึ้น ด้วยการเตรียม “Windows To Go” (WTG) ที่เป็น Windows แบบพร้อมใช้ในแฟลชไดรฟ์ (Flash Drive) นักเดินทางจากหรือในประเทศที่อยู่ในรายการที่โดนห้าม เพียงแค่ซื้อแฟลชไดรฟ์อันนี้ที่เคาน์เตอร์ขายสินค้าในสนามบิน แกะกล่องออกมา เสียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ ตั้งค่าเล็กน้อยก็สามารถที่จะมี Windows 10 สำหรับพร้อมใช้งานในทันที และในแฟลชไดร์ฟ อาจจะติดตั้ง Microsoft Office รุ่นล่าสุดมาให้พร้อมกันเลย แล้วให้ผู้ใช้ลงทะเบียนใช้งานจากสมาชิกที่มีอยู่แล้ว (Subscriptions) หรือว่าซื้อและจ่ายเงินเพื่อเป็นสมาชิกได้ในทันที เพียงแค่นี้ก็ตัดปัญหาการที่จะต้องเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นเครื่องบินไม่ได้อีกต่อไป (และแถมยังสุขภาพดีไม่ต้องแบกคอมพิวเตอร์ให้หนักอีกด้วย) และเจ้า WTG ก็สามารถใช้งานซ้ำได้ ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ตลอด ๆ

 

 

To make it even more success, Microsoft might make a deal with Airports to Install Computer CPU with Internet ready, no hard drive in it. This is mean no Windows, no OS. Simply have the computer ready for “WTG” customer to use. This will be a “Happy Ending”. Make more money.

*If you don’t know what is Windows To Go? Please talk to IT guy near you.

และเพื่อเพิ่มโอกาสมากขึ้น Microsoft น่าจะไปติดต่อกับสนามบินต่าง ๆ เพื่อขอติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีแค่ ซีพียู (CPU), คีย์บอรด์, เมาส์ และจอภาพ พร้อมกับมีอินเตอร์เน็ต (Internet) ที่พร้อมใช้งาน แต่ไม่มีฮาร์ดไดร์ฟ (Hard drive) ที่บรรจุ Windows หรือ OS ใด ๆ เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์ที่พร้อมใช้สำหรับลูกค้าที่ซื้อ WTG ไปแล้วเท่านั้นเอง เพียงแค่นี้ก็ จบบริบรูณ์ รับทรัพย์กันไป

*ถ้าคุณยังไม่รู้หรือเข้าใจว่า Windows To Go คืออะไร ลองปรึกษาทีมงาน IT ใกล้ตัวดูนะครับ

 

List of ban Airport.
  1. Queen Alia International Airport (AMM), Amman Jordan
  2. Cairo International Airport (CAI), Cairo, Egypt
  3. Ataturk International Airport (IST), Istanbul, Turkey
  4. King Abdul-Aziz International Airport (JED), Jeddah, Saudi Arabia
  5. King Khalid International Airport (RUH), Riyadh, Saudi Arabia
  6. Kuwait International Airport (KWI), Kuwait City, Kuwait
  7. Mohammed V Airport (CMN), Casablanca, Morocco
  8. Hamad International Airport (DOH), Doha, Qatar
  9. Dubai International Airport (DXB), Dubai, UAE
  10. Abu Dhabi International Airport (AUH), Abu Dhabi, UAE

 

 

อ่านต่อ » Trump’s no carry-on Laptop Policy; Great Opportunity for Microsoft.

วีธีการที่ถูกต้องในการดูแลแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน

 

วีธีการที่ถูกต้อง ในการดูแลแบตเตอรี่สมาร์ตโฟน (รวมไปถึงโน๊ตบุ๊ค, iPad และทุกอย่างที่มีแบตเตอรี่) เชื่อหรือไม่ว่ามีผู้คนจำนวนมากเข้าใจวิธีการดูแลแบตเตอรี่กันอย่างผิด ๆ มาตลอด เพราะแบตเตอรี่ยุคปัจจุบัน ไม่เหมือนกับแบตเตอรี่มือถือ ตั้งแต่สมัยมือถือออกมาแรก ๆ ที่คุณอาจจะยังจำกันได้ สำหรับประโยคแรก ๆ ที่คนขายจะบอกคุณว่า

 

“ชาร์ตมือถือครั้งแรก 15 ชั่วโมงนะครับ แล้วก็ใช้ให้หมดแล้วค่อยชาร์ตใหม่ให้เต็ม”

 

การทำแบบนี้ไม่ถูกต้องแล้วสำหรับแบตเตอรี่ในยุคปัจจุบัน บทความภาษาอังกฤษข้างล่างคือวิธีการที่ถูกต้องอย่างแท้จริง แต่ถ้าไม่อยากอ่าน สรุปสั้น ๆ ได้ดังนี้

  1. ควรให้แบตเตอรี่มีพลังงานเหลือมากกว่า 50% ขึ้นไป ยิ่งมากยิ่งดี และ
  2. ไม่ควรให้แบตเตอรี่ลดเหลือ 0% บ่อย ๆ เพราะนั่นจะเป็นการทำลายอายุและการทำงานของแบตเตอรี่ ควรจะใช้จนแบตฯ หมด เพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น เพื่อทำการ Calibrate แบตฯ (ปรับความเที่ยงตรงของแบตฯ – ขอขอบคุณพี่ลุงบอย Powerboil สำหรับคำแปลภาษาไทย)

ใครที่ทำแบบตรงข้าม รับรองได้เลยว่าแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพและไม่สามารถชารต์ให้เต็ม 100% ได้ หรืออาจจะพังจนชาร์ตไม่เข้าอีกตอ่ไป มีคนบาดเจ็บมามากต่อมากแล้ว แชร์ ๆ กันไปครับ เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่

เพิ่มเติม: how-to-take-care-of-your-smartphone-battery

 

เทคนิค: การซ่อมสายชาร์ต/หูฟังที่หัก

ปัญหาของลูกค้าของ Apple ที่บ่น ๆ กันมากก็คือ ปัญหาที่สายชาร์ตหรือหูฟัง เปื่อยและขาดง่าย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคือ feature ที่ Apple อาจจะตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะได้เงินจากลูกค้าที่ต้องซื้อสายใหม่เรื่อย ๆ แต่เป็นเรื่องของการที่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ง่าย

แต่แน่นอนมันคือปัญหาใหญ่เลย ตามรูปข้างบนจะเห็นว่าสายชาร์ตแบบ Lightning ของผมนั่นเปื่อยและเน่ามาก แม้ว่าจะยังใช้งานได้ดี แต่มันดูไม่งาม พวกเราลูกค้าก็หาวิธีการต่าง ๆ ที่จะซ่อมมัน เพื่อที่จะใช้งานกันต่อได้อีก ซึ่งก็มีหลากหลายวิธีที่ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้เห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว วันนี้ผมจะมาแนะนำอีกวิธีนึง

สิ่งที่ต้องมีก็คือ เทปขาว ๆ สำหรับใช้สำหรับพันท่อประปา ที่สามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ ตามร้านขายอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านทั่วไป

วิธีการก็ไม่ต้องอธิบายกันมากมาย ฉีกเทปพันท่อประปาให้ยาวตามความเหมาะสม แล้วก็เอามาพันสาย Charge หรือสายหูฟังตรงจุดที่มีปัญหา เพียงแค่นี้เราก็สามารถซ่อมให้มันสามารถใช้งานได้ต่อไปอีกสักระยะ ถ้าเทปพันสายเปื่อยหรือสกปรก ก็ลอกออกแล้วพันใหม่ได้เรื่อย

หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ

 

Check Activation Lock Status

Apple ได้พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยให้กับ iOS, iPhone/iPad อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Two-Step Verification และการพัฒนาเรื่อง Activation Lock (เริ่มใช้ตั้งแต่ iOS 7) เพื่อป้องกันเครื่องถูกขโมย แล้วสามารถนำเครื่องไปใช้งานต่อได้ มาถึงตอนนี้ Apple ได้พัฒนาต่อไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวเครื่องมือบนเว็บที่เรียกว่า Check Activation Lock Status เพื่อช่วยในการตรวจสอบว่า iPhone/iPad ของเราได้เปิดฟังก์ชัน Activation Lock เอาไว้แล้วหรือยัง

 

วีธีการใช้งานก็ง่ายมาก เพียงเข้าไปที่เว็บ Check Activation Lock Status แล้วเอาเลขอีมี่ (IMEI) หรือเลขซีเรียลของตัวเครื่อง iPhone/iPad (Serial Number) กรอกในช่องที่เตรียมเอาไว้ ใส่รหัสยืนยันตามที่แสดงบนหน้าจอในพื้นแรงเงาสีดำ กด Continue รอสักครู่ ถ้าเครื่อง iPhone/iPad ของคุณได้เปิด Activation Lock เอาไว้แล้ว ก็จะพบกับหน้าจอคล้าย ๆ กับข้างล่างนี้

 

อ่านต่อ » Check Activation Lock Status

Apple เปิดฟังก์ชัน Two-Step Verification สำหรับผู้ใช้ในไทยแล้ว

ผมได้เขียนข่าวและเทคนิคการเปิดใช้งาน Two-Step Verification เอาไว้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2556 ซึ่งในตอนนั้น Apple ที่เป็นช่วงเริ่มต้นการใช้งานความสามารถนี้ ทาง Apple เปิดให้ใช้งานได้กับ Apple ID ของประเทศ US, UK, Australia, Ireland และ New Zealand เท่านั้น

มาถึงตอนนี้ ผ่านไปปีกว่า ๆ Apple ได้เปิดให้ผู้ใช้อีก 48 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยได้มีโอกาสใช้งาน Two-Step Verification แล้ว

 

Two-Step Verification เป็นระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ Apple ID ผมขอแนะนำให้ผู้ใช้ทุก ๆ ท่านเปิดใช้งานกันวันนี้เลย เพื่อความปลอดภัยของ Apple ID ของคุณเอง

ถ้าคุณยังไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าจะเปิดใช้งานได้อย่างไร แนะนำให้อ่านบทความที่ผมเขียนเอาไว้เมื่อปีที่แล้วได้ด้วยการคลิกเบา ๆ ที่ลิงค์ต่อไปนี้ Apple เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้ Apple ID

 

 

ซื้อ iPad/iPhone/iPod Touch ใหม่ หาโปรแกรมฟรีไม่เจอ ทำยังไง?

ตามข่าวที่ผมเคยเขียนไปแล้ว สำหรับคุณ ๆ ที่ซื้อเครื่อง iPad/iPhone หรือ iPod Touch ใหม่ ที่มาพร้อมกับ iOS 7 และ/หรือซื้อหลังจากวันที่ 1 กันยายน 2556 (และยังรวมไปถึงเครื่องเคลมใหม่ หลังจากวันที่ 1 กย. ด้วย) จะได้รับโปรแกรม iMovie, iPhoto, Keynote, Pages, Numbers ฟรีทั้งหมด แทนที่จะต้องเสียเงินซื้อราคา $4.99 หรือ $9.99 ต่อตัว

ถ้าคุณได้รับเครื่องมาใหม่แล้ว เมื่อผ่านขั้นตอนการ Activate เครื่องและล๊อคอิน (Log In) เข้า Apple ID เรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าโปรแกรม App Store ครั้งแรก ก็น่าจะพบกับกรอบหน้าจอนี้โผล่ขึ้นมา เพื่อให้โหลดโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านี้ได้ฟรี

แต่ก็อาจจะมีบางครั้งที่กรอบหน้าจอข้างบนไม่แสดงขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ซึ่งก็เกิดขึ้นกับผมหลังจากที่ได้รับ iPad mini Retina Display เครื่องใหม่มา ทำให้เกิดความฉงน งงงวย อยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้โหลดโปรแกรมเหล่านี้ฟรี (จริง ๆ ผมต้องการแค่ Pages และ Numbers เพราะโปรแกรมอื่น ๆ ซื้อมาหมดแล้ว) ลองล๊อคเอาท์ (Log Out) และ ล๊อคอิน (Log In) Apple ID ใหม่อีกหลายครั้งก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

แต่ในที่สุดผมก็หาทางที่จะเข้าไปดาวน์โหลดโปรแกรมเหล่านี้ได้ โดยให้ทำดังนี้

อ่านต่อ » ซื้อ iPad/iPhone/iPod Touch ใหม่ หาโปรแกรมฟรีไม่เจอ ทำยังไง?

Tips: การสลับ iMessage ไปเป็น SMS

สำหรับท่านที่ใช้ iOS ที่ได้มีการเปิดใช้งาน iMessage จะพบว่าสามารถส่งข้อความ, รูปภาพ, และอื่น ๆ ให้กับเพื่อน ๆ ที่ใช้ iOS Devices เหมือนกันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ซึ่งจะส่งให้กับคนที่ใช้ Mac OS ได้ด้วย) เพราะเป็นการส่งข้อความผ่าน Data บนระบบ 3G หรือ EDGE/GPRS/WiFi

แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ว่าถ้าเราไปอยู่ในพื้นที่ที่ระบบ 3G/EDGE/GPRS/WiFi ไม่เอื้ออำนวย เราสามารถที่จะบังคับให้เปลี่ยนการส่ง iMessage เป็นการส่งด้วย SMS แทนได้ (ถ้าใช้ iPhone)

 

วิธีการก็ไม่ยากครับ ถ้าคุณเริ่มสังเกตว่าข้อความที่คุณกำลังส่งด้วย iMessage นั้นใช้เวลานานจนเกินไป คุณก็เพียงแค่ใช้นิ้วกดไปที่ข้อความที่กำลังส่ง จนมีกรอบตัวเลือกแสดงขึ้นมาดังภาพข้างบน ซึ่งจะมีตัวเลือก Copy และ “Send as Text Message” แสดงขึ้นมา คุณก็เพียงเลือกตัวเลือก “Send as Text Message” เพื่อบังคับให้ iOS เปลี่ยนการส่งข้อความแบบ iMessage ให้เป็นการส่งแบบ SMS แทน

ง่าย ๆ เพียงเท่านั้น ตัว iOS (iPhone) ก็จะส่งข้อความนั้น ๆ ออกไปแบบ SMS แทน สังเกตุว่าข้อความเปลี่ยนเป็นสีเขียวพร้อมข้อความกำกับว่า “Send as Text Message” ซึ่งหมายถึงการส่งด้วย SMS

เทคนิคง่าย ๆ แค่นี้ก็ช่วยให้การส่งข้อความได้แบบไม่ขาดตอนครับ ลองใช้งานกันดูนะครับ……

 

** การบังคับการส่งข้อความแบบ iMessage ให้เปลี่ยนเป็นการส่งแบบ SMS นี้จะใช้งานได้กับการส่งข้อความจาก iPhone ไปที่ iPhone จะใช้งานกับ iPod Touch, iPad และ Mac OS X ไม่ได้

 

Apple เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้ Apple ID

ระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple ID คือสิ่งที่ผมเคยได้ยินบางคนบ่น ๆ มาบ้าง เพราะว่ามันยุ่งยากที่จะต้องจำ “คำถาม 3 คำถาม” (Security Questions) ที่จะใช้ในการปลดล๊อค Apple ID ในเวลาที่ลืมรหัสผ่านหรือล๊อคอิน (Login) เข้า Apple ID ไม่ได้

ซึ่งแม้ว่าจะมีตัวเลือกคำถาม 3 คำถามแล้ว ระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple ID ก็ยังไม่ค่อยจะเข้มแข็งเท่าใดนัก ดังนั้น Apple จึงได้เพิ่มระบบการรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเอาระบบการยืนยัน 2 ขั้นตอน ที่เรียกว่า Two-step verification มาใช้งาน (ผมขอเรียกว่า Two-step verification เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ)

รูปแบบการทำงาน
เมื่อเราได้เปิดระบบ two-step verification มาใช้งาน ซึ่งเราจะต้องทำการยืนยันด้วยรหัส 4 ตัวที่ทาง Apple จะส่งมาให้ผ่านทาง Find my iPhone หรือด้วย SMS เมื่อยืนยันแล้ว ถ้าคุณล๊อคอินเข้าไปที่ Apple ID หรือว่าทำการซื้อ App (เพลง,หนัง) ผ่านทาง App Store/iTune Store คุณจะต้องพิมพ์รหัสผ่าน (Password) และรหัส 4 ตัวที่ทาง Apple ส่งให้ เพื่อทำการยืนยัน

หลังจากขั้นตอนการยืนยันผ่านไปแล้ว การเข้าไปที่ Apple ID หรือซื้อ App ครั้งต่อ ๆ ไปก็จะสามารถทำได้ตามต้องการ ซึ่งถ้าคุณไม่ใส่รหัสผ่านและรหัส 4 ตัวนี้ คุณจะไม่สามารถเข้าทำการใด ๆ กับ Apple ID ของคุณได้

นอกจากนี้แล้วคุณยังจะได้รับรหัสพิเศษอีก 1 ชุดที่จะเป็นอักษร 14 หลัก ซึ่งเรียกว่า Recovery Key ที่คุณควรจะพิมพ์หรือจดบันทึกเอาไว้ในที่ที่ปลอดภัย รหัส 14 หลักนี้ จะเป็นรหัสที่คุณต้องนำมาใช้ในการยืนยันความเป็นเจ้าของ Apple ID ของคุณ ในกรณีที่คุณอาจจะลืมรหัสต่าง ๆ ข้างต้น หรือกรณีที่โดนแฮ๊ก Apple ID ไป

** Recovery Code นี้มีความสำคัญมาก ควรจะเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยและไม่ควรให้คนอื่นรู้

อ่านต่อ » Apple เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้ Apple ID

เทคนิค: การถ่ายภาพแบบ Panorama

iOS 6 ได้เพิ่มความสามารถในการถ่ายภาพแบบ Panorama ได้แล้ว (สำหรับ iPhone 4S, iPhone 5, iPod Touch 5th Generation) ซึ่งพอเปิดโปรแกรมกล้อง แล้วเลือกรูปแบบการถ่ายรูปแบบ Panorama แล้วจะพบกับภาพนี้

20121031-160712.jpg

ซึ่งเป็นหน้าจอที่แสดงวิธีการถ่ายภาพแบบ Panorama ที่มีลูกศรชี้ไปทางด้านขวา หมายความว่าให้เราค่อย ๆ เลื่อน iPhone ไปทางด้านขวาเพื่อเก็บภาพไปเรื่อย ๆ จนครบ 270 องศา

แต่บางคนอาจจะไม่ทราบว่า เราสามารถสลับข้างเป็นการเลื่อนเพื่อเก็บภาพไปทางด้านซ้ายได้ด้วย วิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่แตะที่ลูกศรสีขาวที่ชี้ไปทางด้านขวา จะทำให้ลูกศรกลับกลายมาเป็นชี้ไปทางด้านซ้ายแทน จากนั้นคุณเพียงกดปุ่มถ่ายรูป แล้วก็เริ่มต้นเลื่อน iPhone ไปทางด้านซ้าย เพื่อเก็บภาพได้เลย

20121031-160721.jpg

Apple เข้าใจการออกแบบและคิดเผื่อเอาไว้ให้แล้ว เพราะว่าอาจจะมีบางกรณีที่คุณไม่สามารถที่จะเลื่อน iPhone ไปทางด้านขวาได้ เช่น ติดมุมเสา จึงทำให้ต้องเปลี่ยนกลับมาเป็นเลื่อน iPhone ไปทางด้านซ้ายแทนได้ นี่คืออีกหนึ่งของความรอบคอบของการออกแบบ iOS ที่ไม่ลืมแม้แต่จุดเล็ก ๆ ครับ

นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องของ UI ที่ Apple ได้ออกแบบมาเป็นอย่างดีของ iOS ที่ผมเขียนไปก่อนหน้านี้ เชิญอ่านครับ

– เทคนิค: การพิมพ์ตัวเลขไทยใน iOS
– ความเจ๋งในการออกแบบ UI ของ iOS

 

สุดท้าย ไม่ทราบว่าคุณ ๆ ได้ update iOS 6 กันไปแล้วหรือยัง ถ้า update กันแล้ว ผมก็ขอแนะนำให้อ่านบทความและดูวีดีโอเกี่ยวกับ iOS 6 ที่ผมได้ทำไปก่อนหน้านี้ เพื่อช่วยเป็นแนวทางในการเริ่มต้นใช้งาน iOS 6 ให้ได้เต็มทีครับ

– วีดีโอ: What’s new in iOS 6
– Feature: iOS 6 Reply with Message

 

Photo Stream on PC

Steve Jobs เปิดตัวความสามารถของ iCloud ที่เรียกว่า Photo Stream เป็นครั้งแรกในงาน WWDC 2011 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2011 ครั้งนั้นเค้าก็นำเสนอให้เห็นว่า Photo Stream จะช่วยให้เราสามารถจัดการรูปที่เราถ่ายผ่าน iPhone, iPad ได้ง่ายขึ้น เพราะว่ารูปที่เราถ่ายจาก iPad, iPhone ตัวใดก็ตาม จะถูก upload ขึ้น iCloud ทำให้เราสามารถเปิดดูรูปเหล่านั้นบน iPad, iPhone ผ่านทาง Photo Stream ได้ในทันที (แม้ว่าจะไม่ใช่เครื่องที่ถ่ายรูปนั้น ๆ ก็ตาม)

แล้วถ้าเป็นเครื่อง Mac ก็จะสามารถเปิดรูปเหล่านั้นได้ทันทีเช่นเดียวกันผ่านทางโปรแกรม iPhotos และยังสามารถโอนรูปจากในเครื่อง Mac ขึ้นสู่ Photo Stream เพื่อให้เครื่อง iPhone, iPad สามารถเปิดได้เช่นกัน  แต่…. สำหรับ PC ที่ใช้ Windows ณ วันนั้น Steve Jobs ยังไม่ได้บอกว่าจะมีวิธีการจัดการรูปจาก Photo Stream อย่างไร??

เวลาผ่านไป 1 ปี 5 เดือน วันนี้ Apple ได้ update ฟังก์ชัน iCloud รุ่น 2.0 สำหรับ Windows ที่เพิ่มความสามารถ Photo Stream มาให้เรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสนำมาแนะนำครับ

รูปที่ 1

ฟังก์ชัน iCloud จะถูกติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของ Control Panel ซึ่งคุณสามารถเข้าไปได้ด้วยวิธีการนี้ คลิกที่ Start -> Settings -> Control Panel (สำหรับ Windows XP) หรือ Start -> Control Panel (สำหรับ Windows Vista, Windows 7). เมื่อเข้าไปแล้วก็จะพบกับหน้าต่างของ iCloud 2.0 ตามรูปที่ 1

อ่านต่อ » Photo Stream on PC

เทคนิค: การพิมพ์ตัวเลขไทยใน iOS

ผมไม่แน่ใจว่าการพิมพ์ตัวเลขไทยมีคนไทยใช้มากน้อยสักแค่ไหน แต่ Apple ไม่ได้ลืมที่จะใส่มาให้ใน iOS และผมก็ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่ามีมาตั้งแต่ iOS แรกที่มี Keyboard Thai เลยหรือไม่

แต่พอผมได้อ่านคู่มือของ iOS 6 ที่ออกมาพร้อม ๆ กับ iPhone 5 ในหน้าท้าย ๆ มีคำอธิบายเพิ่มเติมถึงวิธีการพิมพ์ตัวเลขไทยเอาไว้ด้วย (ต้องบอกก่อนว่าผมเคยอ่านคู่มือของ iPhone/iOS มาแล้วทุกรุ่น แต่อาจจะไม่ได้สังเกตุหน้าท้าย ๆ ก็เลยไม่แน่ใจว่ามีรายละเอียดนี้หรือไม่ และตอนนี้หาไฟล์เก่า ๆ ไม่เจอ)

เพิ่มเติม: ผมไปค้นเจอไฟล์คู่มือ iOS 4 และ iOS 5 มีเขียนเอาไว้เรื่องการพิมพ์ตัวเลขไทยด้วย นี่เป็นสิ่งดี ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนไทยที่ Apple ไม่ได้ลืม

ตามรูปข้างบนเลยครับ เพียงแค่กดตัวเลขอารบิคค้างเอาไว้สักครู่ เลขอารบิคนั้น ๆ ก็จะกลายเป็นเลขไทยที่ตรงกัน เรื่องง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้ ซึ่งรวมทั้งผมด้วยคนนึง คงจะมีประโยชน์นะครับ

Features: iOS 6’s Reply with Message

ความสามารถใหม่หนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน iOS 6 ซึ่งเป็นความสามารถที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างมาก เรียกว่า “Reply with Message” อธิบายง่าย ๆ คือผู้ใช้สามารถสามารถตอบข้อความกลับไปยังผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาจากหน้าจอที่แสดงสายที่โทรศัพท์เข้ามา (โดยไม่ต้องเข้าโปรแกรม iMessage) ซึ่งสามารถเลือกข้อความสั้น ๆ (SMS) ที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้า แล้วส่งข้อความนั้น ๆ กลับอย่างรวดเร็วในเวลาที่ไม่สะดวกที่จะรับสาย เช่น “กำลังประชุม เดี๋ยวจะติดต่อกลับไป” เป็นต้น

มาลองดูกันว่าคุณจะใช้ความสามารถนี้อย่างไร

เริ่มจากการเข้าไปดูการตั้งค่ากันก่อน เริ่มจากแตะเข้าไปที่ Settings -> Phone -> Reply with Message ก็จะพบกับหน้าจอข้างล่างนี้ เป็นหน้าจอที่จะให้ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนข้อความที่จะใช้เป็นข้อความสำหรับตอบกลับ ซึ่งมีข้อความที่กำหนดเอาไว้เป็นค่าปริยาย (Default) อยู่แล้ว 3 ข้อความ คือ I’ll call you later, I’m on my way, และ What’s up?

รูปที่ 1 : การตั้งค่า

อ่านต่อ » Features: iOS 6’s Reply with Message

iOS 5 Tips EP 6: Software Update

มาถึงตอนที่ 6 แล้วสำหรับ iOS 5 Tips เป็นเรื่องของการ update version ของ iOS ที่สามารถทำได้แบบ OTA (Over The Air) ภายในตัว iPhone, iPad, หรือ iPod Touch เอง โดยไม่จำเป็นต้องอาศัย iTunes อีกต่อไป ซึ่งถ้าคุณใช้ iOS 5 อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด ก็จะสามารถ Update ไปที่ iOS Version ล่าสุดได้ทันที เพียงแค่เชื่อมต่อกับ WiFi ก็สามารถ update iOS ของคุณได้ ลองชมกันครับ

ตอนที่แล้ว:

– iOS 5 Tips EP 1: Notifications Center
– iOS 5 Tips EP 2: Weather App
– iOS 5 Tips EP 3: AssistiveTouch
– iOS 5 Tips EP 4: Custom Vibrations
iOS 5 Tips EP 5: LED Flash for Alerts

 

iOS 5 Tips EP 5: LED Flash for Alerts

มาถึงตอนที่ 5 แล้วสำหรับ iOS 5 Tips ตอนนี้เป็นเรื่องของการปรับแต่งและใช้งาน LED Flash ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น ลองชมกันครับ

ตอนที่แล้ว:

– iOS 5 Tips EP 1: Notifications Center
– iOS 5 Tips EP 2: Weather App
– iOS 5 Tips EP 3: AssistiveTouch
– iOS 5 Tips EP 4: Custom Vibrations