ช่วงเดือน กรกฎาคม ปี 2013 ตอนนั้นผมเดินทางไปปักกิ่ง เพื่อช่วยดำเนินการย้ายสำนักงานไปที่ใหม่ ผมได้รับการติดต่อจากฝ่ายบุคคลของบริษัทขายผลไม้จากคูเปอร์ติโน่ ประจำสาขาสิงคโปร์ เพื่อขอสัมภาษณ์งานในตำแหน่งที่ผมสมัครเอาไว้ก่อนหน้านั้น
สัมภาษณ์รอบแรก
ผมแจ้งไปว่า ผมกำลังเดินทางมาทำงานที่ปักกิ่งนะ เค้าก็ตอบกลับมาว่า จะสัมภาษณ์ด้วย FaceTime ซึ่งที่เมืองจีนน่าจะใช้งานได้ไม่มีปัญหา ผมก็เลยตอบตกลงนัดหมายวันและเวลากัน พอถึงวันและเวลาที่นัดหมาย ผมก็กลับไปที่โรงแรมก่อนเวลาเล็กน้อย เพื่อเตรียมเชื่อมต่อ iPad เข้า Internet ให้เรียบร้อยแล้ว และทดสอบการใช้ FaceTime กับครอบครัว 1 รอบ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
บรรยากาศการสัมภาษณ์เป็นไปแบบสบาย ๆ เป็นการพูดคุยกับทางฝายบุคคล ที่เป็นผู้หญิงชาวสิงคโปร์ เน้นการสอบถามถืงประวัติการทำงานของผมโดยภาพรวม พูดคุยถึงประสบการณ์ในการทำงาน และสอบถามถึงงานที่จะต้องทำที่บริษัทขายผลไม้นี้ เพื่อดูว่าเนื้องานนั้นจะตรงกับประสบการณ์ของผมหรือไม่ ซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ผมสัมภาษณ์ไป 44 นาที ด้วย FaceTime ทั้งวีดีโอและเสียงแบบไม่ติดขัดเลย ทำให้พบว่า Apple นั้นออกแบบระบบ FaceTime ได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ เวลา 44 นาทีนั้น มีการรับและส่งขัอมูลเพียง 157 MB เท่านั้น นี่คือความสามารถของการออกแบบระบบการสื่อสารที่ทำให้โลกเล็กลงมาก อยู่ที่ไหน ๆ ก็สามารถติดต่อกันได้ทั้งภาพและเสียง เพียงแค่เข้าถึง Internet ได้เท่านั้น
นอกเรื่อง เพราะความสะดวกและความสามารถของ FaceTime นี้เอง ทำให้ผมไม่ว่าจะเดินทางไปประเทศไหน จะพยายามหา SIM 3G ของท้องถิ่นเอาไว้เสมอ เพื่อการติดต่อกับทางครอบครัวเป็นหลัก ไปเที่ยวที่ไหน ๆ ก็สามารถเอาภาพที่ตาเราเห็น ให้คนทางบ้านเห็นได้พร้อม ๆ กัน ประหนึ่งว่าเดินทางมาด้วยกัน ถ้าไม่มีคนอย่าง Steve Jobs เราก็อาจจะไม่ได้ระบบการติดต่อสื่อสารแบบนี้ก็เป็นได้
การสัมภาษณ์รอบสอง
ประมาณเดือนตุลาคม ผมได้รับการติดต่อกลับมาจากฝ่ายบุคคลคนเดิม แจ้งว่าให้เข้าไปที่สำนักงานบริษัทขายผลไม้ สาขาประเทศไทย เพื่อทำการสัมภาษณ์รอบที่ 2 และแจ้งให้ผมเตรียมทำ presentation อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับสินค้าของบริษัทขายผลไม้นี้ ผมก็เลยทำไปเรื่องที่เกี่ยวกับ iOS
เค้ายังแจ้งอีกว่า จะมีเจ้าหน้าที่ของทางเค้าประมาณ 10 คนในห้องที่จะสัมภาษณ์ผม ซึ่งมีทั้งชาวต่างชาติและคนไทย ผมก็สบาย ๆ เพราะว่าเคยโดนรุมสัมภาษณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว กลัวซะที่ไหน นอกจากนี้แล้ว ยังระบุอีกว่าการแต่งตัวให้เป็นแบบ Business Casual ผมก็เลยไปถามเพื่อนผมที่ชื่อ Google ดูว่าการแต่งกายแบบ Business Casual นั้นเป็นแบบไหน คำตอบที่ได้ก็คือ ใส่เสื้อยืดได้ การเกงยีนส์ก็ได้ แต่ว่าอย่าให้มันฉูดฉาดและบ้าระห่ำจนเกินไป ซึ่งก็คือวัฒนธรรมแบบฝรั่งทั่วไป ที่ผมก็แต่งตัวแบบนี้ทำงานอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ใส่ชุดทำงานทุกวันนั่นแหล่ะไปสัมภาษณ์ได้เลย ^__^
เมื่อถึงวันสัมภาษณ์ ผมเดินทางไปถึงก่อนเวลาเกือบครึ่่งชั่วโมง ซึ่งเป็นมารยาทมาตรฐานที่เราควรจะไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ก่อนเวลานัดสักหน่อย พอไปถึงแล้ว สักพักหนึ่งฝ่ายบุคคลท่านเดิมก็ส่ง iMessage* ถามผมว่ามาถึงหรือยัง ผมก็ตอบไปว่าอยู่ที่ห้องโถงของบริษัทของเค้าแล้ว เค้าตอบกลับมาว่าให้รอสักครู่ กำลังสัมภาษณ์อีกคนนึงอยู่
ผมรอไม่นานนักก็ถูกเชิญให้เข้าห้องสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นไปตามที่ได้รับการบอกกล่าวเอาไว้ มีคนอยู่ในห้องนั้น 10 คน รอเชือดผมอยู่ เป็นคนไทย 3 ที่เหลือคือฝรั่งชาวอเมริกันทั้งหมด พอทักทายกันนิดหน่อย เค้าก็บอกให้ผมเริ่มทำการ present ตามที่เตรียมมา และเค้าเสริมอีกว่า เค้าอาจจะให้ผมหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเค้าคิดว่าเพียงพอแล้ว และจะต่อด้วยการพูดคุยกัน แล้วผมก็เริ่มร่ายมนต์ presentation ของผม ระหว่างนั้นก็มีคำถามบ้างเล็กน้อย หลาย ๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ผมเอามาเล่าใหม่ เช่น เรื่องวันและเวลาที่ iPhone เริ่มเข้ามาขายในเมืองไทยครั้งแรก ผมเห็นว่าเจ้าหน้าที่คนไทยบางคนนั่งนึกตามและพยักหน้าตามไปด้วย แสดงว่าเค้าจำได้เหมือนกัน ^_^ ผม present ไปได้ประมาณ 10 นาที เค้าก็บอกว่าพอแล้ว
และก็เริ่มการคุยกัน ผมโดนคน 6 คนรุมถามเป็นภาษาอังกฤษในเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวผม ตำแหน่งงานที่เค้าจะรับ มุมมองและความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวผลไม้ชนิดนี้ ถามถึงเรื่องร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายผลไม้ของเค้า และอีกมาก ใช้เวลาไปอีกประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ สุดท้ายก็จบและคุณฝ่ายบุคคลก็เดินออกมาส่งถึงหน้าประตูออฟฟิศและบอกว่าจะติดต่อกลับมา
* นี่เป็นอีกครั้งที่เค้าใช้ความสามารถและระบบพื้นฐานที่ Apple ออกแบบเอาไว้อย่างดี เอามาใช้ในการสื่อสารกับผมได้ฟรี ๆ ไม่ต้องเสียค่าส่ง SMS ทางไกลระหว่างประเทศ
สรุป
สองสัปดาห์ต่อมา ผมได้รับอีเมล์จากฝ่ายบุคคลคนเดิม บอกว่าผมไม่ผ่านการสัมภาษณ์รอบ 2 ที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้แจ้งเหตุผลที่ชัดเจน และบอกว่าถ้าผมมีข้อสงสัยอะไรให้ถามได้ ผมก็ถามไปเหมือนกัน แต่ไม่ได้รับการตอบกลับมา ซึ่งก็ไม่เป็นไร
การที่ผมไม่ได้งานกับบริษัทขายผลไม้นี้ ถ้าถามว่าเสียใจหรือไม่? ผมตอบได้เลยว่า ไม่เสียใจ เพราะว่าการสัมภาษณ์งานก็เป็นแบบนี้ อาจจะมีผิดหวังบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมมีความรู้สึกเสียดายมากกว่า เพราะอยากไปเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทขายผลไม้นี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เค้าจะยังมีตำแหน่งต่าง ๆ เปิดขึ้นมาอีกแน่นอน เอาไว้สมัครใหม่ในวันหน้า และสุดท้าย ผมไม่ได้งานกับบริษัทขายผลไม้นี้ก็ดีนะ ไม่งั้นผมก็คงไม่ได้ทำงานในตำแหน่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ^__^
ผมเขียนเล่าซะยืดยาว ขอขอบคุณที่อ่านกันจนจบ และคุณ ๆ อ่านแล้วไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าบริษัทผลไม้นี้คือบริษัทอะไร? ^______________^ เพื่อน ๆ ท่านใดมีความเห็นอะไรที่อยากจะแบ่งปัน ก็เมล์มาคุยกันได้นะครับที่ iamsk@outlook.com