Recent Posts

iOS/iPadOS 14.5 is out, Update now

iOS/iPadOS 14.5 ออกแล้วนะครับ ควร update อย่างยิ่ง เราสามารถไม่ให้ App ต่าง ๆ Track เราได้ โดยเฉพาะ Facebook

วิธีการปิด Tracking

  • เข้า Settings
  • Privacy
  • Tracking
  • “Allow Apps to Request to Track” ปิดมันซะ (ตามรูปข้างล่างนี้)

เพียงเท่านี้ เท่านี้ App ต่าง ๆ ก็ไม่สามารถ Track ตามติดการใช้งานของคุณได้ โดยเฉพาะการเอาโฆษณามายัดเยียดให้ตามสิ่งหรือเรื่องราวที่คุณเปิดดู (จะเห็นชัดมากโดยเฉพาะกับ Facebook) ใครยังไม่ update ไม่ต้องรอช้าครับ ดีกว่าแน่นอน

ดูวีดีโอข้างล่าง เพื่อความเข้าใจว่าทำไม ข้อมูลการใช้งาน App ของคุณ ควรเป็นของคุณเท่านั้น ไม่ควรให้คนพัฒนา App เอาไปขายต่อ

Privacy | App Tracking Transparency | Apple

iOS/iPadOS 14.6 Developer Beta 1

Apple เพิ่งจะปล่อย iOS 14.5 Golden Master ไปเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2021 ที่ผ่านมาสำหรับ Developer (ผู้ใช้ทั่วไปจะได้ใช้กันในวันที่ 28 เมษายน 2021)

แต่แล้ววันนี้ 23 เมษายน 2021 Apple ก็ได้ปล่อย iOS 14.6 Developer Beta 1 ออกมาอีก (ผมยังไม่มีข้อมูลหรือเห็นความแตกต่างว่ามีอะไรใหม่) ซึ่งในหน้า Software Update ใน iPhone พบว่าเครื่อง iPhone (หรือ iPad) ที่ติดตั้ง iOS/iPadOS Developer profile เอาไว้ จะสามารถใช้ iOS 14.5 ต่อไปก็ได้ หรือว่า่จะเลือกไป update ไปเป็น iOS 14.6 Developer Beta ก็ได้ โดยได้มีการเพิ่มเมนูให้ update 14.6 ได้ที่ด้านล่างของจอ ตามภาพข้างล่างนี้

ผมไม่รอช้าครับ update iOS 14.6 Developer Beta 1 ไปโลด ถ้าพบว่ามีอะไรใหม่ที่น่าสนใจ จะมาแจ้งให้ทราบต่อไปครับ



Timeline and Privacy

ช่วงนี้ ต้นเดือนเมษายน 2021 #Covid19 ระบาดหนักเป็นรอบที่ 3 และมีการพูดถึงเรื่อง Timeline ของผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อแล้วหลาย ๆ คน ทั้งดารา นักร้อง คนดัง รวมไปถึงนักการเมือง ส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลอยู่แล้วว่าไปไหนมาบ้าง แต่ก็มีบ้างที่ไม่ยอมเปิดเผย เพราะอาจจะไปอยู่ในที่อโคจรแถว ๆ ซอยทองหล่อ ตามที่เป็นข่าว ก็เลยต้องปกปิดกันไป

และเนื่องจากเรื่อง Timeline นี่เอง ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ใช้ Google Maps บน Smartphone อาจจะไม่รู้ว่า ตัวระบบมันจะบันทึก Timeline ในรูปแบบของสถานที่ที่คุณเดินทางไป ในระหว่างการใช้งาน Google Maps ในการนำทาง ซึ่งค่าโดยปริยาย (Default) นั้นจะเปิด (On) เอาไว้

แต่ผมเลือกที่จะปิดมัน ไม่ให้ Google บันทึกสถานที่ที่ผมเดินทางไป สาเหตุหลักก็เพราะว่าไม่อยากให้ Google เอาข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับการเดินทางของผม ไปใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจของเค้าในด้านต่าง ๆ อย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่ และผมมองว่ามันคือการละเมิดความเป็นส่วนตัว (Privacy) ที่ทำไมจะต้องอนุญาตให้ใครก็ไม่รู้มารู้ว่าเราไหนบ้าง

ผมก็เลยเลือกที่จะปิดมันเอาไว้ตลอดตามรูปข้างล่างนี้ ซึ่งคุณก็สามารถเลือกที่จะปิดมันได้เหมือนกับผมด้วยวิธีการง่าย ๆ

  1. เข้า App Google Maps บน iPhone หรือ Android ของคุณ
  2. กดที่ account ของคุณทีมุมบนขวา แล้วเลือกเมนู “Your Timeline”
  3. ถ้ามันเปิดอยู่ (On) ก็เปลี่ยนเป็น ปิด (Off) มันซะ
  4. เท่านี้ก็เรียบร้อย

* การเข้าถึงเมนูนี้อาจจะแตกต่างกันในแต่ละ OS หรือเครื่อง Smartphone ที่คุณใช้

อย่างไรก็ตาม บางท่านอาจจะทำอาชีพที่ต้องใช้แผนที่ในการทำงาน เช่น พนักงานส่งของที่เรียกว่า Rider หรือพนักงานขับรถบริการแท๊กซี่ ก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องเปิด Timeline เอาไว้ เพื่อช่วยเหลือในการค้นหาเส้นทางและทำมาหากิน

Google Maps

ลองดูนะครับ เผื่อว่าจะมีคนคิดเหมือนผมบ้าง Google ได้ข้อมูลของเรามาเกินไปแล้ว อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ต้องให้เค้าก็น่าจะดีกว่า และขอให้ทุกท่านปลอดภัย ปลอดโรค

* ผมนั้นใช้ iPhone แต่ก็ไม่ได้ใช้ Apple Maps ที่ติดมากับตัว iOS ที่แน่นอนว่าปลอดภัยกว่า ไม่โดนล้วงข้อมูลใด ๆ แต่เพราะตำแหน่งหรือสถานที่ต่าง ๆ ในไทยของ Apple Maps ยังไม่พร้อมหรือยังไม่เยอะมาก บางครั้งหาอะไรไม่ค่อยจะเจอ ก็เลยยังใช้ Google Maps อยู่

ผู้คนสมัยนี้ไม่รู้จักคำว่า “ขอบคุณ” กันแล้ว

มีคนที่ไม่รู้จักผม แต่อาจจะเคยอ่านบทความที่ผมเขียนเอาไว้ เรื่องที่เกี่ยวกับ iOS หรือ iPhone บนเว็บกาก ๆ ของผม แล้วเค้าก็ส่งเมล์มาถามว่าจะทำยังไงถ้าลืม Apple ID และเปิดเครื่องไม่ได้ ผมก็แนะนำให้ติดต่อไปที่ Apple Support ที่ Singapore พร้อมแนบเบอร์โทรฯ ไปให้ด้วย

 

 
แล้วเค้าก็เมล์กลับมาถามเพิ่มเติมว่า ทาง Apple Support จะถามคำถามอะไรเค้าบ้างเพื่อยืนยันตัวตนเค้า ผมก็ตอบไป

 


ระหว่างการตอบเมล์ไปมา 2 ฉบับ ไม่มีคำขอบคุณออกมาจากอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว แล้วเมล์ที่ส่งมาก็ห้วน ๆ ใส่คำถามมาใน Subject ไม่มีเนื้อความใน Body ของอีเมล์ คำทักทาย สวัสดีคะ สักคำก็ไม่มี (รู้ว่าเป็นผู้หญิงจากคำว่า คะ Subject ที่เขียนมา) *จะเห็นว่าผมก็ไม่ได้ใช้คำทักทายเค้าเหมือนกัน ก็ทำไมหล่ะครับ ในเมื่อเค้าคือคนที่มาขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ใส่ใจที่จะใช้คำทักทาย แล้วทำไมต้องทักทายเค้าครับ


จนผมตอบกลับไปแล้ว ก็ไม่มีส่งเมล์กลับมา “ขอบคุณ” เลย ผู้คนสมัยนี้แปลกนะครับ
#สันดาน เสียหายกันไปหมดแล้ว เค้าลืมไปหรือปล่าวว่าผมไม่ได้ทำงานที่ Apple และเสียเวลาส่วนตัว, เสียค่าไฟ, เสียค่า Internet ตอบคำถามให้ฟรี ๆ


แค่พูด(หรือเขียน) คำว่า “ขอบคุณ” แล้วตอบเมล์กลับมา นี่มันยากตรงไหนวะ 

iOS 10.2 and WatchOS 3.1.1 is here

กลางดึกที่ผ่านมา Apple เพิ่งปล่อยตัว update iOS 10.2 และ WachOS 3.1.1 ตัวเต็มออกมาให้ update กันครับ ซึ่งทุกท่านสามารถ update แบบ OTA กันได้แล้วครับ สำหรับรายการปรับปรุงก็มีดังนี้

OS 10.2 ขอแนะนำคุณสมบัติพิเศษใหม่ๆ รวมทั้งแอพทีวี (เฉพาะภาษาอังกฤษของประเทศสหรัฐเท่านั้น) ประสบการณ์ใหม่แบบหนึ่งเดียวในการเข้าถึงรายการทีวีและภาพยนตร์จากแอพต่างๆ อิโมจิได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความละเอียดและสวยงามมากขึ้น และมีอิโมจิใหม่มากกว่า 100 แบบ รวมทั้งใบหน้าใหม่ อาหารใหม่ สัตว์ใหม่ กีฬาใหม่ และอาชีพใหม่ การอัพเดทนี้ยังประกอบด้วยการปรับปรุงความเสถียรและการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ด้วย (รายละเอียดแบบสมบรูณ์ อ่านได้จากลิงค์ข้างล่าง)

 

ios102

 

 

WatchOS 3.1.1

  • แก้ปัญหาที่อาจทำให้ไม่มีรายชื่อแสดงในแอพข้อความและการแจ้งเตือน
  • แก้ปัญหาที่อาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองกับการแจ้งเตือนได้
  • แก้ปัญหาที่อาจทำให้กลไกหน้าปัดหุ้นไม่อัพเดทบนหน้าปัดนาฬิกา
  • แก้ปัญหาที่อาจทำให้วงแหวนกิจกรรมไม่แสดงบนหน้าปัดนาฬิกากิจกรรม
  • แก้ปัญหาที่ทำให้หน้าปัดนาฬิกาอนาล็อกไม่แสดงส่วนกำกับเวลาชั่วโมงและนาทีหลังจากที่เปลี่ยนหน่วยอุณหภูมิในแอพสภาพอากาศ
  • แก้ปัญหาที่อาจทำให้แอพแผนที่ไม่ปิดหลังจากที่เสร็จสิ้นการนำทาง
  • แก้ปัญหาที่อาจทำให้แสดงวันที่ไม่ถูกต้องในมุมมองเดือนของแอพปฏิทิน

watchos311

 

ข้อมูลเพิมเติม:

 

รูรั่วใหม่บน iOS 8 – 10.2 Beta 3

มีผู้ทีตรวจพบรูรั่วของระบบรักษาความปลอดภัยของ iOS อีกแล้ว ซึ่งทำให้คนใกล้ตัวเรา ที่สามารถสัมผัสโทรศัพท์ของเรา สามารถเข้าถึงข้อมูล Contacts และรูปภาพในเครื่องได้ แม้ว่าจะใช้รหัสล๊อคเครื่องเอาไว้ก็ตาม ซึ่งในวีดีโอนี้บอกว่า สามารถใช้วิธีการนี้ได้ตั้งแต่ iOS 8 ไปจนถึง iOS 10.2 Beta 3 ล่าสุด ซึ่งก็หมายความว่า สำหรับผู้ที่ยังใช้ iOS 9.3.x ลงไป จะไม่ได้รับการแก้ไขและอุดรูรั่วนี้อย่างแน่นอน ลองชมวิธีการกันดูครับ

 


วิธีการแก้ไข ก่อนที่ Apple จะออกตัว update มาเพื่อปิดรูรั่วนี้
1. เข้าไปที่ Settings -> Touch ID & Passcode ให้ปิด Siri ไม่ให้ทำงานในหน้า Lock Screen
2. เข้าไปที่ Settings -> Privacy – Photos แล้วปิดการอนุญาตให้ Siri เข้าถึงรูปภาพ (Photos).

คงต้องรอดูว่า Apple จะรีบออกตัว update เพื่ออุดรูรั่วนี้รวดเร็วเพียงใดครับ

 

ที่มา: TheHackernews.com

 

iOS 9.3.5 released!


Apple ได้ปล่อย iOS 9.3.5 update ออกมาเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการแก้ไขรูรั่วของเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย (Security) ของตัว iOS อยู่ 2-3 อย่าง และแน่นอนก็ได้ปิดกั้นการ Jailbreak iOS 9.3.4 ที่เพิ่งจะประกาศออกมาเมื่อ 1-2 วันที่แล้วอย่างแน่นอน

เนื่องจากว่า update นี้เน้นเรื่องการอุดรูรั่วของระบบการรักษาความปลอดภัย ผมจึงแนะนำให้ทุกท่านที่ใช้ iOS 9.3.4 อยู่ รีบ update กันโดยด่วนครับ สำหรับ iOS 9.3.5 นี้น่าจะเป็น Update ท้าย ๆ ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ iOS 10 ในเดือนหน้า (กันยายน) นี้แล้วนะครับ

 

iOS 10 Developer Beta 7

เมื่อกลางดึกของคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา Apple ได้ปล่อยตัว Update iOS 10 Developer Beta 7 (พร้อม ๆ กับ Public Beta 6) ออกมาให้ update กันอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเวลาเพียง 4 วันหลังจากปล่อย Developer Beta 6 ออกมาเท่านั้น

ผมเชื่อว่านี่น่าจะเป็น Beta สุดท้ายแล้ว ก่อนที่จะออกตัวเต็มหรือ Golden Master ในอีก 1-2 สัปดาห์ เพื่อความพร้อมสำหรับติดตั้งใน iPhone 7 ที่คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงต้นเดือนกันยายนที่จะุถุึงนี้ครับ

 

iOS 10 Developer Beta 6 and WatchOS 3 Beta 6 is out

ยิ่งใกล้วันเปิดตัว iPhone ตัวใหม่ ที่คาดว่าจะใช้ชื่อว่า iPhone 7 ทาง Apple ก็เร่งปรับปรุง iOS 10 เพื่อให้ทันที่จะใส่เอาไว้ใน iPhone รุ่นใหม่นั่นเอง และเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา Apple ก็ได้ปล่อย update iOS 10 Developer Beta 6 ออกมาแล้ว (พร้อม ๆ กับ Public Beta 5) ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็น Beta ท้าย ๆ แล้ว ก่อนที่จะเข้าสู่รุ่น Golden Master (GM) ภายในปลายเดือนสิงหาคมนี้ และเปิดตัวเต็ม ๆ พร้อมกับการเปิดตัว iPhone 7 นั่นเอง

สิ่งที่ปรับปรุงหรือแก้ไขไปที่เห็นได้ชัดก็คือ แก้ปัญหาการแสดงผลของ iPad ที่จะมีการแสดงผลของ dock (แถวล่างของจดที่แสดง App 4-5 ตัว) ที่จะแสดงสีผิดพลาด หรือกระพริบเวลาหมุนจอไปในมุมต่าง ๆ ใน Beta 6 นี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ๆ น่าจะเป็นการแก้ไข Bugs เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ

 

 

พร้อม ๆ กันนี้ก็ได้ update WatchOS 3 Beta 6 ออกมาด้วยเช่นกัน ทั้ง iOS 10 และ WatchOS 3 สำหรับผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป คาดว่าน่าจะได้ใช้งานกันในเดือนกันยายนนี้ครับ รอกันอีกไม่นานแล้วครับ

 

iOS 10 Developer Beta 5 and WatchOS 3 Beta 5 is out

เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา Apple ได้ปล่อย update iOS 10 Developer Beta 5 (และ Public Beta 4) พร้อม ๆ กับ WatchOS 3 Beta 5 ให้ update กันแล้วครับ ผมเชื่อว่าคงจะมี Beta อีกสัก 1-2 ตัวเท่านั้น ก่อนที่จะเป็นตัวเต็ม ที่น่าจะเปิดตัวพร้อม ๆ กับ iPhone 7 ในช่วงต้นเดือนกันยายน ตามที่ลือ ๆ กันเอาไว้


สิ่งที่เปลี่ยนไปที่สังเกตุพบสำหรับ iOS 10 Developer Beta 5

Smart Battery Case – iPhone 6 สามารถทำงานร่วมกับ Smart Battery Case ได้แล้ว
Photos – Apple ปรับกรรมวิธีในการคัดแยกใบหน้าในรูปถ่าย (facial recognition) ใหม่ทั้งหมด ซึ่งตัว iOS จะเริ่มต้นตรวจสอบภาพทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อทำการแยกแยะใบหน้า และเราสามารถเพิ่มใบหน้าที่เราต้องการไว้ใน Favorites ได้

Lock sound – เสียงตอนล๊อคเครื่องเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง คล้าย ๆ กับเสียงปิดประตู
New Output icon – เปลี่ยนภาพไอคอน (Icon) ที่แสดงใน Control Center ที่เป็นไอคอนสำหรับแสดงให้รู้ว่าจะให้ภาพหรือเสียงไปออกที่ไหน

 


Settings
– Home ได้ถูกลบออกจาก Settings ใน iPhone แต่ยังคงมีอยู่ใน iPad
Widgets – ในหน้า Widgets สามารถแสดงผลข้อมูลได้ครบถ้วนแล้วทั้งใน iPhone/iPad (ใช้การปัดหน้าจอไปทางขวาเพื่อแสดง Widgets)

 

 

iOS 9.3.4 is out

Apple เพิ่งปล่อยตัว update iOS 9.3.4 ออกมาเมื่อคืน คาดว่าน่าจะเป็น Update สุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ iOS 10 ภายในเดือนกันยายนนี้  iOS 9.3.4 นี้เป็นการแก้ปัญหาเรื่อง Security ต่าง ๆ และแน่นอนออกมาสกัดการ JailBreak ที่เพิ่งเปิดตัวไม่กี่วันก่อนครับ

สำหรับท่านที่ใช้ iOS 9.3.3 ก็สามารถ update กันได้แล้วครับ

 

iOS 10 Beta 4 and WatchOS 3 Beta 4 is out

ช่วงนี้ไม่ค่อยจะว่าง ทำให้ไม่ได้ update เว็บอีกเช่นเคย ก็เลยข้าม iOS 10 Beta 3, และ WatchOS 3 Beta 3 ไปเลย มาวันนี้ก็เลยมา update ข่าว iOS 10 Beta 4, WatchOS 3 Beta 4 ทีเดียวไปเลยก็แล้วกันครับ ^__^

WatchOS3-B4

 

แถมด้วยวีดีโอที่แสดงถึงความสามารถใหม่ของ iOS 10 Beta 4 ครับ

iOS 10 Beta 2 and WatchOS 3 Beta 2 is out

ตามหัวข้อเลยครับ iOS 10 Beta 2 ออกมาแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา เท่าที่ทดลองดูยังไม่เห็นความแตกต่างจาก Beta 1 มากนัก สิ่งแรกที่เห็นก็คือ บน iPhone 6 โดนบังคับให้เปลี่ยน Passcode จาก 4 หลักให้เป็น 6 หลัก แต่บน iPad mini (รุ่น 2) กลับไม่โดนบังคับให้เปลี่ยน ก็เลยไม่แน่ใจว่าตัว iOS 10 Beta 2 มันบังคับจริง ๆ หรือเกิดจากข้อผิดพลาดอะไรบางอย่าง

และต่อกันไปก็มี WatchOS 3 Beta 2 ออกมาให้ update เช่นเดียวกัน แต่ผมยังไม่เห็นความแตกต่างหลังจากที่ update ไปครับ

 

 

และก็ต้องบอกกันอีกครั้งว่า ทั้ง iOS 10 และ WatchOS 3 ยังเป็นรุ่น Beta จึงยังไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปนะครับ

 

 

iOS 9.3.3 Beta 4 is out

เมื่อคืนที่ผ่านมา Apple ได้ปล่อย iOS 9.3.3 Beta 4 ออกมา ซึ่งจริง ๆ แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนเพิ่งจะมี iOS 9.3.3 Beta 3 ออกมา (แต่ผมไม่ได้เขียนข่าว ขออภัย) ซึ่ง iOS 9.3.3 Beta เป็นการ update แบบคู่ขนาน ในขณะที่ iOS 10 ก็อยู่ในระหว่างการเป็น Beta เช่นเดียวกัน แต่ก็มีเหตุผลที่ Apple ทำแบบนี้ ซึ่งก็คือจะมี iPhone หรือ iPad รุ่นเก่า ๆ ที่ไม่สามารถ update ไปเป็น iOS 10 ได้ ก็จะยังคงสามารถ update เป็น iOS 9.3.3 ได้นั่นเอง

iOS Beta ทุกรุ่น เหมาะสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ที่สามารถรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปครับ

 

จริงหรือ: ชาร์จมือถือไม่ระวังเสี่ยงโดนมัลแวร์ได้

 

เช้าวันนี้ 24 มิถุนายน 2559 อ่านหนังสือพิมพ์ M2F ฉบับประจำวัน ในคอลัมภ์ TGIF มีหัวข้อ “ชาร์จมือถือไม่ระวังเสี่ยงโดนมัลแวร์ได้” ผมก็เลยอยากจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เพราะว่ามันอาจจะจริง แต่ว่าจริงแค่ครึ่งเดียวนะครับ ยังไงอ่านต่อไปนะครับ

ต้องเล่าก่อนว่า พวกเราทุกวันนี้ใช้ Smartphone ที่ใช้ระบบปฎิบัติการหลัก ๆ อยู่ 2 ตัวคือ Android หรือ iOS ซึ่งเมื่อใช้งานเยอะ ๆ ทั้งวัน ก็จะประสบปัญหาว่าแบตเตอรี่อาจจะหมดในระหว่างวัน ถ้ามีแบตเตอรี่พกพาสำหรับเติมพลังให้ Smartphone ของคุณก็ว่ากันไป แต่หลาย ๆ คนอาจจะไม่มี แล้วบังเอิญว่าแถว ๆ ที่คุณกำลังอยู่นั้นมีช่องเสียบสาย USB เพื่อให้ชาร์ตแบตเตอรี่ได้ฟรี  ว๊าววววดีจัง รีบเสียบสายชาร์ตเลยสิรออะไรอยู่ ฟรีด้วย

ตรงนี้แหล่ะครับคือที่มาของเรื่องนี้ เพราะว่าคุณอาจจะไม่รู้ว่าปลายสายอีกด้านหนึ่งของช่องเสียบ USB ที่คุณเห็นนั้นแท้ที่จริงแล้วมันคืออะไร ถ้ามันคือปลั๊กไฟธรรมดาก็ไม่มีปัญหาอะไร ชาร์จไปเลยฟรี ๆ แต่ถ้าจริง ๆ แล้วปลายสายอีกด้านหนึ่งคือเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เค้าเตรียมเอาไว้หลอกเพื่อดึงข้อมูลของ Smartphone ของคุณหล่ะ นั่นคือหายนะอย่างแรง

แต่อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นไปแล้ว คำว่า “ชาร์จมือถือไม่ระวังเสี่ยงโดนมัลแวร์ได้” นั้นจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะว่าถ้าระบบปฎิบัติการของ Smartphone ของคุณปลอดภัย คุณก็ไม่ต้องกังวลอะไร ยกตัวอย่างเช่น iPhone (หรือ iPad) ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ iOS ถ้าคุณเสียบสาย USB เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ แล้วปลายสายอีกด้านเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งแน่นอนเครื่องคอมพิวเตอร์ก็จะพยายามเข้าถึงตัวเครื่อง iPhone ของคุณ แต่ด้วยความที่ iOS นั้นออกมาแบบมาให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีพอสมควร พอเราเสียบสายชาร์จเข้ากับ iPhone แล้ว บนหน้าจอของ iPhone ก็จะมีข้อความเตือนขึ้นมาตามรูปข้างล่างนี้

 

 

ซึ่งถ้าเราเห็นข้อความนี้แสดงขึ้นมาบนหน้าจอ ทำให้เรารู้ได้ทันทีเลยว่าปลายสายอีกด้านของ USB ที่เราเสียบนั้นคือเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะเป็นความตั้งใจของคนที่ดูเหมือนจะใจดี ให้ชาร์จมือถือได้ฟรี แต่ลึก ๆ แล้วหวังมากกว่านั้น

หน้าจอนี้กำลังบอกว่า เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้กำลังขอให้เราอนุญาติเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ใน iPhone ของเรา ซึ่งถ้าเราอนุญาต ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเข้าถึงข้อมูลใน iPhone ของเราได้ทั้งหมด รวมถึงสามารถ Sync และ Backup Data ทั้งหมดของเครื่อง iPhone เราไว้สำหรับการเจาะข้อมูลภายหลังย และที่น่ากลัวก็คือเค้าจะสามารถเข้าถึงรูปภาพต่าง ๆ ที่เราเก็บเอาไว้ได้ในตอนนั้นเลย สิ่งที่เค้าจะทำก็คือดูดเอาภาพทั้งหมดไปเก็บเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเรามีรูปที่เราไม่ต้องการให้คนอื่น ๆ เห็น ก็จะเป็นภาพหลุดกันตอนนี้แหล่ะครับ

เพื่อความปลอดภัย ถ้าเห็นข้อความเตือนบนหน้าจอแบบนี้ ถ้าไม่จำเป็นที่จะต้องชาร์จแบตเตอรี่จริง ๆ ผมแนะนำว่าให้ถอดสายออกทันที แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องชาร์จแบตเตอรี่จริง ๆ ก็ให้กด “Don’t Trust” ไปเลย เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าถึงข้อมูลที่อยู่ใน iPhone เค้าก็จะไม่สามารถทำอะไรกับ iPhone ของคุณได้เลย เมื่อได้พลังงานแบตเตอรี่ที่พอจะไปต่อได้แล้วก็ถอดสายออกไปซะ

 

แล้วถ้าเปลี่ยนมาเป็น Smartphone ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android พอคุณเสียบสาย USB แบบเดียวกันเลย บนหน้าจอของมือถือของคุณจะไม่แสดงข้อความเตือนอะไรเลย พร้อม ๆ กับเปิดบ้านรอให้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เกือบจะในทันที ซึ่งระดับการเข้าถึงข้อมูล ก็แล้วแต่ว่าเครื่องของคุณใช้ Android เวอร์ชันไหน แต่โดยมากก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้เกือบทั้งหมด รวมถึงรูปภาพและวีดีโอที่อยู่ในเครื่อง ผู้หวังดีที่เตรียมช่อง USB เอาไว้ให้เราชาร์จแบตเตอรี่ ก็เริ่มต้นดูดภาพต่าง ๆ ของคุณเอาไปไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเค้า ถ้ามีภาพเด็ด ๆ รับรองว่าไม่นานคุณได้เป็นดาราบนโลกโซเชียลอย่างรวดเร็ว

แล้ว “มัลแวร์” ตามหัวข้อก็อาจจะเป็นของแถมให้ด้วย เพราะ Android นั้นถ้าเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แล้ว ก็จะสามารถติดตั้ง App หรือมัลแวร์เข้าไปในตัวเครื่องได้ไม่ยากนัก ค้นหาวิธีการต่าง ๆ บน Google ศึกษานิดหน่อยก็จะสามารถเจาะระบบ Android ได้ไม่ยาก บางคนอาจจะเขียนโปรแกรมดักข้อมูลเอาไว้รอและดูดข้อมูลแบบอัตโนมัติ โดยให้ดูดข้อมูลทันทีที่ตรวจเจอ Android ที่ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ขอเค้า  ดังนั้น ถ้าคุณใช้มือถือที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android ผมไม่แนะนำให้ไปเสียบชาร์จไฟจากช่อง USB ที่คุณไม่รู้เลยว่าปลายทางเป็นอะไร รวมถึงการขอไปเสียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์คนอื่นเพื่อชาร์จไฟก็ไม่สมควรเช่นกัน

ที่ผมเขียนบทความนี้ก็เพียงแค่จะบอกว่าให้คุณ ๆ ตระหนักถึงความปลอดภัยของข้อมูลที่อยู่ในมือถือของคุณ สุดท้ายจริง ๆ ก็อาจจะไม่มีระบบปฎิบัติการใดปลอดภัยสมบรูณ์แบบ ตัวคุณเองต่างหากที่ควรจะระวังและคิดอีกทีก่อนที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้โดนขโมยข้อมูลได้ง่าย ๆ ฝากไว้ครับ

Link: About the “Trust this Computer”