Recent Posts

OneDrive Number

บทความนี้เขียนขึ้นมาแบบที่ผมต้องตั้งสติ และตั้งใจเขียนมาก ๆ เพราะมันอธิบายได้ไม่ง่ายเลย มีรายละเอียดที่จะต้องอธิบายดี ๆ ชัด ๆ โดยหวังว่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด

เราอยู่ในยุคของการจัดเก็บไฟล์ไว้ในพื้นที่จัดเก็บแบบ Online ทีเรียกกันว่า Cloud ที่มีหหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายผู้ให้บริการซึ่งทำให้เราจะต้องปรับตัว ปรับความคิด ความเข้าใจกันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หัวเรื่องผมเขียนว่าเป็น OneDrive Number แต่บทความนี้มิได้จะเฉพาะหรือจำกัดอยู่ที่ Microsoft OneDrive เท่านั้น หลักการและแนวทางที่ผมเขียนนี้ สามารถใช้ได้หมดกับ Dropbox หรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายการจัดเก็บแบบนี้

Microsoft OneDrive

เวลาที่เราใช้ OneDrive ตามปกติเราก็จะติดตั้งโปรแกรม OneDrive เอาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งจะช่วยจัดการการเก็บและโอนไฟล์ขึ้นไปไว้ในพื้นที่จัดเก็บบน Cloud ให้เราแบบอัตโนมัติในทุกครั้งที่เราสร้างไฟล์ใหม่ หรือแก้ไขไฟล์ที่เรามีอยู่แล้ว เพื่อที่จะให้ไฟล์ต่าง ๆ นั้นปลอดภัย ไม่หายไป ถ้าเกิดกรณีที่ดิสค์ (HDD/SSD) ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เสียหายไป

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไปก็มักจะสร้างชื่อไฟล์ยาว ๆ และเก็บไว้ในโฟลเดอร์ (Folder) ที่มีชื่อยาว ๆ เหมือนกัน และอาจจะยังมีโฟลเดอร์ซ้อนกันหลาย ๆ ชั้นเข้าไปอีก ซึ่งก็จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้

แต่ก่อนที่จะเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจกับการจัดเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์เสียก่อน ย้อนกลับไปไกลถึงเรื่องพื้นฐานของเลขฐาน 2 กันเลยทีเดียว เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว ระบบคอมพิวเตอร์จะเก็บทุกอย่างอยู่ในรูปแบบของเลขฐาน 2 ที่มีแค่ 0 กับ 1 เช่น ตัวอักษร S ที่เราเห็น แท้ที่จริงแล้วคอมพิวเตอร์จะเก็บเอาไว้ในแบบเลขฐาน 2 คือ 01010011 ซึ่งก็คือเลข 0 และ 1 รวมกัน 8 ตัว ซึ่งเท่ากับเท่ากับ 8 bits

และต่อเนื่องจากเรื่องนี้ ก็ต้องพูดถึงของข้อจำกัดของระบบปฎิบัติการ (Operating Systems) โดยเฉพาะ Microsoft Windows ที่มีข้อจำกัดของเรื่องของความยาวของชื่อโฟล์เดอร์ ชื่อไฟล์ ที่รองรับได้สูงสุดที่ 256 ตัวอักษร หรือ 2 ยกกำลัง 8 (28)

จากข้อกำหนดของ 2 ยกกำลัง 8 (28) ลองมาคิดกันต่ออีกนิด สมมุติว่าคุณมีไฟล์ชื่อ

WHO Interim policy 5 items 280159_ENG AI.docx

ลองมองและนับดู ชื่อไฟล์นี้ก็น่าจะมีความยาวเท่ากับ 39 ตัวอักษร ถ้าคุณตอบว่าใช่ คำตอบนั้นคือผิด เพราะว่าระบบการจัดเก็บไฟล์ไว้บน Cloud แท้ที่จริงก็คือไฟล์ที่อยู่บน Internet แล้วจะต้องสามารถให้เราหรือผู้ใช้งานเรียกใช้งานได้ด้วยการคลิกที่ลิงค์ เพื่อเข้าถึงไฟล์ได้ด้วย ซึ่งปัญหาก็อยู่ตรงนี้ ผมขอบอกว่าชื่อไฟล์ข้างบนไม่ใช่ 39 ตัวอักษรอย่างที่เรามองเห็น

เพราะว่า ช่องว่างที่เว้นไว้ระหว่างคำ ในการเก็บหรืออ้างอิงถึงไฟล์แบบลิงค์บน Internet นั้นจะกลายเป็น

WHO%20Interim%20policy%205%20items%20280159_ENG%20AI.docx

จึงทำให้ชื่อไฟล์ที่เราเห็นว่ามี 39 ตัวอักษร แท้ที่จริงแล้วคือ 57 ตัวอักษร เพราะทุก ๆ 1 ช่องว่างระหว่างคำ แท้ที่จริงแล้วมันจะถูกแทนด้วย %20 ในทุก ๆ จุด

ตรงนี้ผมไม่ได้คิดไปเอง นี่คือข้อกำหนดของ w3c ว่าด้วยเรื่อง “ASCII Encoding Reference” กำหนดเอาไว้เป็นมาตรฐานของ Open Web Platform ที่สามารถไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ www.w3schools.com/tags/ref_urlencode.asp

จากมาตรฐานนี้เอง ให้ลองนึกภาพว่าถ้าคุณมีชื่อโฟลเดอร์ยาว ๆ มีเว้นวรรค แล้วซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น แล้วยังมีชื่อไฟล์เอกสารยาว ๆ อีกด้วย พอถึงจุดหนึ่ง ไฟล์หรือโฟล์นั้นก็จะไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือไม่สามารถเปิดไฟล์ได้ในที่สุด ซึ่งตรงนี้มีผลไปถึงการใช้งาน Cloud Storage ด้วย

ลองดูตัวอย่างนี้ ถ้าผมมีชื่อโฟล์เดอร์และไฟล์ยาว ๆ แบบนี้

ถ้าเอามานับจำนวนตัวอักษรทั้งหมดที่รวม %20 ที่หมายถึงช่องว่าระหว่างคำนั้น ก็จะได้ความยาวเท่ากับ 292 ตัวอักษร เกินข้อจำกัดที่ 256 ตัวอักษรไปไกลแล้ว ซึ่งจะทำให้ไฟล์นี้อาจจะเปิดไม่ได้เลย รวมถึงจะไม่สามารถ upload ขึ้นไปบน Cloud ได้ด้วย

สิ่งที่คุณต้องทำ เพื่อทีจะไม่ใช้เกิดปัญหานี้ก็คือ ถ้าคุณจำเป็นจะต้องตั้งชื่อไฟล์หรือชื่อโฟลเดอร์แบบยาว ๆ ให้เปลี่ยนช่องว่างระหว่างคำ ให้เป็นเครื่องหมายขีดกลาง – หรือ Hyphen แทน ซึ่งจะทำให้แทนที่จะใช้ 3 ตัวอักษร ก็จะกลายมาเป็น 1 ตัวอักษรแทน ซึ่งทำให้ความยาวของโฟล์เดอร์และไฟล์เดียวกัน แทนที่จะเป็น 292 ตัวอักษร ก็กลายมาเป็น 242 ตัวอักษรในทันที

แต่คำแนะนำที่ดีที่สุด ก็คือไม่ควรที่จะสร้างโฟล์เดอร์ซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น และควรจะตั้งชื่อโฟลเดอร์และชื่อไฟล์ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ถ้าคุณมาถึงจุดนั้นแล้ว ชื่อโฟล์เดอร์หรือชื่อไฟล์มีความยาวรวมกันแล้วเกิน 256 ตัวอักษรไปไกลมาก ๆ แล้วในที่สุดคุณก็เปิดไฟล์หรือโฟล์เดอร์ไม่ได้อีกต่อไป แล้วจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เพราะถ้าคุณเข้าไปที่โฟล์เดอร์นั้นไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถที่จะย้ายให้มันไปอยู่ที่จุดอื่น ๆ ที่มีชื่อโฟลเดอร์ที่สั้นกว่าได้ เอาหละสิ…

แต่ผมมีทางออกให้ อาศัยคำสั่งโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัย DOS (Disk Operating System) ที่มาถึง Microsoft Windows 11 แล้ว คำสั่งนี้ก็ยังไม่ได้ถูกตัดทั้งไป และผมก็ยังใช้มันอยู่เรื่อย ๆ คำสั่งนี้คือ Subst ที่ผมไม่รู้ว่ามันย่อมาจากคำเต็ม ๆ ว่าอะไร แต่ก็ได้ใช้งานคำสั่งนี้มานานาน จนจำไม่ได้ว่ากี่ปีแล้ว รูปแบบของคำสั่งมีดังนี้

ซึ่งสามารถใช้จำลองชื่อโฟล์เดอร์ยาว ๆ ให้กลายมาเป็น Drive ใหม่ขึ้นมา ทำให้เราตัดข้ามความยาวของโฟล์เดอร์ต่าง ๆ ไปเลย ไปนับกันที่ 1 ใหม่จากจุดที่เราต้องการ สมมติว่าคุณเข้าไปอ่านข้อมูลได้แค่ที่โฟลเดอร์นี้

“D:\iamSK\Project Managements\04. Technical and Programmatic\02. Workplanning and Adaptive Management\01. Project Branding and Marking\02. Comms Products\”

ที่จุดที่ลึกไปกว่านี้คุณไม่สามารถเปิดเข้าไปได้แล้ว ตรงนี้คำสั่ง Subst จะกลายมาเป็นพระเอกของเรา ให้คุณออกไปที่ Command Prompt แล้วพิมพ์คำสั่งตามนี้

Subst X: “D:\iamSK\Project Managements\04. Technical and Programmatic\02. Workplanning and Adaptive Management\01. Project Branding and Marking\02. Comms Products\”

*ให้สังเกตุว่าชื่อโฟล์เดอร์ทั้งหมด อยู่ในหรือครอบเอาไว้ด้วยเครื่องหมายคำพูด ” …. ” เพราะว่าชื่อโฟล์เดอร์มีเว้นช่องว่าง จึงต้องใส่เครื่องหมายคำพูดครอบเอาไว้ทั้งหมด ให้ DOS เข้าใจว่านี่คือคำหรือประโยคยาว ๆ ประโยคเดียว

ซึ่งแปลได้ว่า ให้เอาชื่อโฟล์เดอร์ “D:\iamSK\Project Managements\04. Technical and Programmatic\02. Workplanning and Adaptive Management\01. Project Branding and Marking\02. Comms Products\” ยาว ๆ อันนี้ จำลองให้กลายมาเป็น Drive X แล้วก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงไฟล์หรือโฟลเตอร์ที่อยู่ในระดับที่ลึกลงไปได้แล้ว

จากนั้นคุณก็จะสามารถย้ายโฟล์เดอร์และไฟล์ที่อยู่ลึก ๆ นั้น ให้ไปอยู่ในจุดอื่น ๆ ที่ไม่ซ้อนลึกจนเกินไป ด้วยการใช้คำสั่ง Cut , Paste ได้ตามปกติ ซึ่งก็จะทำให้สามารถแก้ปัญหานี้ได้ในที่สุด

ซึ่งตัว X Drive ที่เราสร้างด้วยคำสั่ง Subst นี้จะใช้งานได้ชั่วคราว จะหายไปเมื่อคุณทำการ Restart คอมพิวเตอร์ หรือพิมพ์คำสั่ง

Subst X: /D

เพื่อทำการลบ Drive X ทิ้งไป

บทความนี้ค่อนข้างยาว ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ของคนที่อาจจะเจอปัญหาของชื่อโฟล์เดอร์และชื่อไฟล์ยาว ๆ แล้วเข้าถึงไม่ได้ และยังมีเทคนิคในการตั้งชื่อไฟล์ให้สั้นลงด้วยการไม่ใช้ช่องว่าง โดยให้แทนด้วยเครื่องหมาย ขีดกลาง – หรือ Hyphen ก็จะช่วยลดความยาวของชื่อโฟลเดอร์ หรือชื่อไฟล์ได้

แต่ผมมีคำถามต่อ… แล้วถ้าเราใช้เครื่องหมายขีดเส้นใต้ _ หรือ Underline แทน เครื่องหมาย ขีดกลาง – หรือ Hyphen หละ มันจะเป็นอย่างไร ควรหรือไม่ควรทำ? ลองคิดหาคำตอบดูนะครับ

–iamSK

Windows 10 can you just Shutdown (for real)?

รู้หรือไม่ ใน Windows 10 เวลาคุณกด Shutdown จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ Shutdown คุณยังไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ และคุณลองพิสูจน์ได้ด้วยการเข้าไปที่ Task Manager ของ Windows ด้วยการกดปุ่ม Ctrl, Shift และ ESC พร้อมกัน แล้วกดเลือกแท๊ป “Performance” แล้วดูข้อมูลตรงที่เขียนว่า Up time ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่บอกว่า จริง ๆ แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ (Windows 10) นั้นเปิดทำงานมาแล้วนานแค่ไหน ในกรณีของผมก็คือ 3 วัน 8 ชั่วโมง กับอีก 23 นาทีโดยประมาณ (ดูภาพประกอบนะครับ)

ภาพที่ 1. หน้าจอ Task Manger แสดงค่า Up Time ของ Windows 10

แล้วทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ คุณอาจจะบอกว่า อ้าวก็กด Shutdown ทุกครั้ง มันก็ต้องปิดเครื่องไปแล้วแล้วทำไมเวลา Up Time ตรงนี้ทำไมยังนับต่อ ทำไมไม่เริ่มจาก 1 ใหม่ ตรงนี้คือความสามารถใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน Windows 10 ที่เรียกว่า “Fast Startup” ที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows 10 ไม่มีการ Shutdown แบบสมบรูณ์ หรือจะเรียกว่าคอมพิวเตอร์ของคุณไปอยู่ในโหมดกึ่งกลางระหว่าง Shutdown และ Hibernation (แปลตรง ๆ ตัวว่า “จำศีล”) ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ทำให้เรารู้สึกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเปิดกลับมาพร้อมใช้ได้อย่างรวดเร็ว นับเวลาตั้งแต่กดปุ่มเปิดเครื่อง ไปจนถึงพร้อมที่จะให้เราล๊อคอิน (Login) เข้าใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

แล้วการ Shutdown แบบนี้มันมีผลข้างเคียงหรือไม่ มีแน่นอนครับ เพราะว่าการเข้าสู่โหมดกึ่งงกลางแบบนี้ ตัว Windows ก็จะยังจำค่าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของโปรแกรมหรืออะไรก็ตามค้างเอาไว้ในหน่วยความจำ (Memory) แล้วเขียนไปพักเอาไว้ในฮาร์ดดิส (หรือ SSD) แล้วก็ไม่เคยมีการเคลียร์ทิ้งไป เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์กลับมาใหม่ ค่าต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะถูกเรียกให้ขึ้นกลับมาใหม่ จะยังคงค้างงอยู่ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมพอนานวันเข้าตัว Windows เองก็จะเริ่มรวนและทำงานผิดพลาดเรื่อย ๆ

แล้วถ้าต้องการ Shutdown แบบสมบรูณ์ เราจะทำอะไรได้บ้าง?

เราก็สามารถทำได้ 2 อย่างครับ 1 คือไปปิดโหมดการทำงาน Fast Startup ไปเลย ซึ่งก็ทำได้ไม่ยากดังนี้ (ดูภาพประกอบ)

  1. กดที่ปุ่ม Start ที่มุมล่างซ้ายของจอภาพ แล้วพิมพ์คำว่า Power
  2. เลือก “Power & Sleep Settigs” และคลิก “Additional Power Setting”
  3. จะมีตัวเลือก “Choose what the power buttons do” ในหน้าต่างด้านซ้าย
  4. ให้ยกเลิกการเลือกตัวเลือก “Turn on fast startup (recommended)” (คุณอาจจะต้องกดเลือก “Change Settings that rea currently unavailable” แล้วตัวเลือกนึ้ถึงจะให้เรากดยกเลิกได้)
  5. กด Save Changes เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
ภาพที่ 2. หน้าจอแก้ไขค่าเพื่อปิด Fast Startup (1)

ภาพที่ 3. หน้าจอแก้ไขค่าเพื่อปิด Fast Startup (2)

เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย จากนั้นก็ทดลอง Shutdown คอมพิวเตอร์แล้วเปิดกลับมาใหม่ แล้วลองดูว่าเวลาตรง Up Time เปลี่ยนไปหรือไม่ ? แต่ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ ช่วงเวลาการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ จนพร้อมใช้งานอาจจะนานขึ้น ให้คุณลองทดสองจับเวลาด้วยตัวเองว่ามันช้ามากแค่ไหน รับได้หรือไม่ ถ้ารับไม่ได้ก็ย้อนไปเลือกตัวเลือก “Turn on fast startup (recommended)” เหมือนเดิม

หรือแบบที่ 2 วิธีการง่าย ๆ ก็คือ ให้คุณกดปุ่ม Shift ค้างเอาไว้ตอนที่กดคำสั่ง Shutdown วิธีการนี้จะบังคับให้ Windows เข้าสู่การ Shutdown เต็มรูปแบบ หรือถ้าอยากจะทำอะไรสนุก ๆ หรือเท่กว่านั้น ก็ต้องใช้คำสั่ง Dos ง่าย ๆ ด้วยคำสั่ง

Shutdown /s /f

คุณอาจจะสร้างคำสั่งข้างบนเอาไว้เป็น Batch file แล้ว save เอาไว้บน Desktop ชื่อ Shutdown.cmd พอจะต้องการ Shutdown แบบสมบรูณ์ก็ Double Click ไฟล์นี้ ก็จะ Shutdown แบบสมบรูณ์ให้เลย (ผมไม่ลงลึกเรื่องการทำ Batch file นะครับ ใครอยากทราบ เดี๋ยวผมเปิดคลาสสอนเก็บตังค์ 🙂 ทุกวันนี้ผมยังใช้ Dos command และ Batch File ทำงานนู่นนี่นั่นเยอะแยะ เพราะง่ายและเร็วกว่าการคลิกหลาย ๆ ครั้งด้วยเมาส์)

หรือถ้าคุณไม่ต้องการแก้ไขค่าข้างต้นหล่ะ แล้วจะทำยังไงให้ Windows ลบค่า Up Time และสิ่งต่าง ๆ ที่ตกค้างในหน่วยความจำนั้นต้องทำยังไง ง่าย ๆ เลยครับ เปลี่ยนจากการ Shutdown ไปเป็นการเลือก Restart แทน ซึ่งทำให้ให้ค่า Up Time โดนลบทิ้งพร้อม ๆ กับสิ่งต่าง ๆ ที่ตกค้าง แล้วค่อยเลือก Shutdown อีกครั้ง เมื่อคอมพิวเตอร์เปิดกลับมาทำงานแล้ว แต่วิธีการนี้ ค่า Up Time จะเริ่มนับไปแล้วหลังจากที่เปิดกลับมาพร้อมใช้ และนับต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีการลบค่านี้อีกครั้ง

และการเลือก Restart แลัวมันเคลียร์สิ่งต่าง ๆ ที่ตกค้างในหน่วยความจำของ Windows นี่เองที่เป็นพระเอก เหมือนเวลาที่คุณอาจจะเคยได้ยินฝ่าย IT ชอบบอกว่าให้ Restart Windows เสีย 1 ครั้ง เวลาที่คุณแจ้งปัญหาต่าง ๆ กับเค้า แล้วก็เหมือนกับพวกเค้าร่ายมนต์ใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ แล้วมันก็กลับมาทำงานได้ปกติเหมือนเดิม ปัญหาที่คุณเจอก่อนหน้านั้นหายไปซะงั้น ทั้ง ๆ ที่เค้าไม่ต้องจับเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเสียด้วยซ้ำ คุณคงพอจะเข้าใจแล้วนะครับ 😛

ตอนต่อไปผมจะมาเขียนถึงฝั่ง iPhone บ้าง ซึ่งก็คล้ายกัน การปิดเครื่อง ไม่เหมือนกับการ Restart รออ่านกันเด้อ

#iamSK #ITPro #Microsoft #Windows #Windows10 #FastStarup #Shutdown #Hybernation #Restart

.
ติดตามกันได้:
•• Twitter – twitter.com/iamsk
•• Instagram – instagram.com/iamsk
•• Youtube – http://bit.ly/iamsk-youtube
•• FB Page – https://bit.ly/iamsk-page
.
.

iOS/iPadOS 14.5 is out, Update now

iOS/iPadOS 14.5 ออกแล้วนะครับ ควร update อย่างยิ่ง เราสามารถไม่ให้ App ต่าง ๆ Track เราได้ โดยเฉพาะ Facebook

วิธีการปิด Tracking

  • เข้า Settings
  • Privacy
  • Tracking
  • “Allow Apps to Request to Track” ปิดมันซะ (ตามรูปข้างล่างนี้)

เพียงเท่านี้ เท่านี้ App ต่าง ๆ ก็ไม่สามารถ Track ตามติดการใช้งานของคุณได้ โดยเฉพาะการเอาโฆษณามายัดเยียดให้ตามสิ่งหรือเรื่องราวที่คุณเปิดดู (จะเห็นชัดมากโดยเฉพาะกับ Facebook) ใครยังไม่ update ไม่ต้องรอช้าครับ ดีกว่าแน่นอน

ดูวีดีโอข้างล่าง เพื่อความเข้าใจว่าทำไม ข้อมูลการใช้งาน App ของคุณ ควรเป็นของคุณเท่านั้น ไม่ควรให้คนพัฒนา App เอาไปขายต่อ

Privacy | App Tracking Transparency | Apple

iOS/iPadOS 14.6 Developer Beta 1

Apple เพิ่งจะปล่อย iOS 14.5 Golden Master ไปเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2021 ที่ผ่านมาสำหรับ Developer (ผู้ใช้ทั่วไปจะได้ใช้กันในวันที่ 28 เมษายน 2021)

แต่แล้ววันนี้ 23 เมษายน 2021 Apple ก็ได้ปล่อย iOS 14.6 Developer Beta 1 ออกมาอีก (ผมยังไม่มีข้อมูลหรือเห็นความแตกต่างว่ามีอะไรใหม่) ซึ่งในหน้า Software Update ใน iPhone พบว่าเครื่อง iPhone (หรือ iPad) ที่ติดตั้ง iOS/iPadOS Developer profile เอาไว้ จะสามารถใช้ iOS 14.5 ต่อไปก็ได้ หรือว่า่จะเลือกไป update ไปเป็น iOS 14.6 Developer Beta ก็ได้ โดยได้มีการเพิ่มเมนูให้ update 14.6 ได้ที่ด้านล่างของจอ ตามภาพข้างล่างนี้

ผมไม่รอช้าครับ update iOS 14.6 Developer Beta 1 ไปโลด ถ้าพบว่ามีอะไรใหม่ที่น่าสนใจ จะมาแจ้งให้ทราบต่อไปครับ



Timeline and Privacy

ช่วงนี้ ต้นเดือนเมษายน 2021 #Covid19 ระบาดหนักเป็นรอบที่ 3 และมีการพูดถึงเรื่อง Timeline ของผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อแล้วหลาย ๆ คน ทั้งดารา นักร้อง คนดัง รวมไปถึงนักการเมือง ส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลอยู่แล้วว่าไปไหนมาบ้าง แต่ก็มีบ้างที่ไม่ยอมเปิดเผย เพราะอาจจะไปอยู่ในที่อโคจรแถว ๆ ซอยทองหล่อ ตามที่เป็นข่าว ก็เลยต้องปกปิดกันไป

และเนื่องจากเรื่อง Timeline นี่เอง ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ใช้ Google Maps บน Smartphone อาจจะไม่รู้ว่า ตัวระบบมันจะบันทึก Timeline ในรูปแบบของสถานที่ที่คุณเดินทางไป ในระหว่างการใช้งาน Google Maps ในการนำทาง ซึ่งค่าโดยปริยาย (Default) นั้นจะเปิด (On) เอาไว้

แต่ผมเลือกที่จะปิดมัน ไม่ให้ Google บันทึกสถานที่ที่ผมเดินทางไป สาเหตุหลักก็เพราะว่าไม่อยากให้ Google เอาข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับการเดินทางของผม ไปใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจของเค้าในด้านต่าง ๆ อย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่ และผมมองว่ามันคือการละเมิดความเป็นส่วนตัว (Privacy) ที่ทำไมจะต้องอนุญาตให้ใครก็ไม่รู้มารู้ว่าเราไหนบ้าง

ผมก็เลยเลือกที่จะปิดมันเอาไว้ตลอดตามรูปข้างล่างนี้ ซึ่งคุณก็สามารถเลือกที่จะปิดมันได้เหมือนกับผมด้วยวิธีการง่าย ๆ

  1. เข้า App Google Maps บน iPhone หรือ Android ของคุณ
  2. กดที่ account ของคุณทีมุมบนขวา แล้วเลือกเมนู “Your Timeline”
  3. ถ้ามันเปิดอยู่ (On) ก็เปลี่ยนเป็น ปิด (Off) มันซะ
  4. เท่านี้ก็เรียบร้อย

* การเข้าถึงเมนูนี้อาจจะแตกต่างกันในแต่ละ OS หรือเครื่อง Smartphone ที่คุณใช้

อย่างไรก็ตาม บางท่านอาจจะทำอาชีพที่ต้องใช้แผนที่ในการทำงาน เช่น พนักงานส่งของที่เรียกว่า Rider หรือพนักงานขับรถบริการแท๊กซี่ ก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องเปิด Timeline เอาไว้ เพื่อช่วยเหลือในการค้นหาเส้นทางและทำมาหากิน

Google Maps

ลองดูนะครับ เผื่อว่าจะมีคนคิดเหมือนผมบ้าง Google ได้ข้อมูลของเรามาเกินไปแล้ว อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ต้องให้เค้าก็น่าจะดีกว่า และขอให้ทุกท่านปลอดภัย ปลอดโรค

* ผมนั้นใช้ iPhone แต่ก็ไม่ได้ใช้ Apple Maps ที่ติดมากับตัว iOS ที่แน่นอนว่าปลอดภัยกว่า ไม่โดนล้วงข้อมูลใด ๆ แต่เพราะตำแหน่งหรือสถานที่ต่าง ๆ ในไทยของ Apple Maps ยังไม่พร้อมหรือยังไม่เยอะมาก บางครั้งหาอะไรไม่ค่อยจะเจอ ก็เลยยังใช้ Google Maps อยู่

OneDrive Update: January 2019

OneDrive Software ได้มีการ update ความสามารถใหม่เป็นระยะ ๆ และสำหรับเดือนมกราคม 2562 มีรายการ update 2 อย่างดังนี้

  • Files On-Demand สำหรับ OneDrive ของ MacOS จะเริ่ม update ในเดือนนี้ (คลิก เพื่ออ่านบทความเก่า เกี่ยวกับ Windows Storage Sense กับ OneDrive File On-Demand) OneDrive File On-Demand จะช่วยให้คุณสามารถเรียกใช้ไฟล์ของคุณจาก OneDrive ได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บไฟล์นั้นเอาไว้ในเครื่องฯ ของคุณ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากในกรณีที่พื้นที่ฮาร์ดดิสค์ (หรือ SSD) ของเครื่องของคุณมีพื้นที่ว่างไม่มาก และ/หรือน้อยกว่าพื้นที่ของไฟล์ที่เก็บไว้ใน OneDrive คุณจะยังเห็นไฟล์ทั้งหมดของคุณ แต่จะไม่ได้เก็บไฟล์นั้น ๆ เอาไว้ในเครื่องฯ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่คุณเปิดใช้งานไฟล์นั้น ๆ OneDrive ถึงจะเริ่มดาวน์โหลดไฟล์นั้นมาแล้วเปิดให้คุณใช้งานได้ตามปกติ เมื่อทำงานเสร็จแล้วหรือบันทึกไฟล์ ก็จะทำการบันทึกกลับไปที่ OneDrive ที่อยู่บน Cloud ให้โดยอัตโนมัติ

File On-Demand สำหรับ MacOS Mojave จะถูกเปิดเป็นค่าปริยาย (Default) เมื่อได้รับการ update แล้ว ซึ่งถ้าผู้ใช้ต้องการปิดการใช้งาน File On-Demand ก็สามารถทำได้ ผู้ใช้ MacOS จะได้รับการ update ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 เป็นต้นไป*

*MacOS จะต้องเป็นเวอร์ชัน 10.4.12 หรือสูงกว่า และ OneDrive เวอร์ชัน 18.240.1202.0001 หรือสูงกว่า

ข้อด้อยข้อเดียวของการใช้ OneDrive File On-Demand ก็คือคุณจะต้องเชื่อมต่อกับ Internet ตลอดเวลา จึงจะเปิดไฟล์ที่ไม่ได้อยู่ในเครื่องฯ ของคุณได้ แต่ในยุค 4.0 แบบนี้ เราคงจะไม่ค่อยมีปัญหานี้กันอีกต่อไป ผู้ใช้คงสามารถเชื่อมต่อ Internet ได้จากทุก ๆ ที่อยู่แล้ว

 

  • OneDrive Mass Delete Prompt (จะเริ่ม update เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป) ในกรณีที่ผู้ใช้ทำการลบไฟล์จาก OneDrive หรือ SharePoint พร้อม ๆ กัน เป็นจำนวน 200 ไฟล์ขึ้นไป โปรแกรม OneDrive จะทำการเตือนและขอให้ผู้ใช้ทำการยืนยันที่จะลบไฟล์เหล่านั้นทิ้ง ซึ่งถ้ายืนยันก็ให้คลิก “Remove” หรือถ้าไม่ได้ตั้งใจที่จะลบไฟล์เหล่านั้นทิ้ง ก็จะสามารถคลิก “Restore Files” เพื่อเรียกคืนไฟล์เหล่านั้นกลับมาได้ และถ้าคุณไม่ต้องการให้ OneDrive ถามทุกครั้งที่คุณลบไฟล์จำนวนมาก ๆ พร้อม ๆ กัน ก็ให้คลิกที่ตัวเลือก “Always remove files” ทำให้ในครั้งต่อ ๆ ไปจะไม่มีการถามยืนยัน **ซึ่งไม่แนะนำให้ทำเช่นนี้ เพื่อป้องกันการลบไฟล์ผิด)

 

ที่มา: Microsoft OneDrive Blog

 

TEAM

 

TEAM คือ สโลแกน ที่ใช้ในทีมงาน IT ขององค์กรผม ย่อมาจากคำว่า Together Everyone Achieve More คำ ๆ นี้ใช้งานได้จริง ๆ สำหรับทีมงานของผม ด้วยความที่ตัวผมเองไม่ได้รู้ทุกอย่าง ไม่ได้เก่งลึกไปทุกเรื่อง เพราะแก่แล้ว ^__^ ไม่ได้มีพลังงานที่จะไปเรียนรู้ทุกอย่างได้ลึก ๆ เหมือนตอนยังอายุน้อย ๆ

ก็เลยได้ทีมงานช่วยกันแบ่งปันความรู้ ความสามารถให้กับคนอื่น ๆ ในทีมได้ด้วย คนไหนที่เก่งเรื่องไหน ที่อีกคนหรือหลายยังไม่รู้หรือไม่เคยทำ ก็ให้คนที่เก่งช่วยสอนและแบ่งปันความรู้ให้กันได้ ถ้าทุกคนและทุกบริษัททำแบบนี้ได้หมดจะดีมาก ๆ นะครับ

ทำไมผมต้องมาคุยเรื่องนี้ เพราะว่าจากที่ผมได้ประสบพบเจอมา คน IT หลาย ๆ คนชอบเป็นคนที่หวงความรู้ ซึ่งไม่รู้ว่า่จะหวงไว้ทำไม ถ้าคุณเป็น IT Pro ที่มีความเชี่ยวชาญ การสอนให้คน IT ในทีมของคุณเก่งเป็นผู้เชียวชาญด้วย เค้าก็จะสามารถช่วยคุณทำงานในเรื่องเดียวกันได้ด้วย ไม่ใช่คุณที่จะต้องมาทำเรื่องนั้นตลอด ๆ ฝากไว้ครับ

 

สอนคนให้จับปลากินเอง น่าจะดีกว่าที่เราจะต้องคอยจับปลาให้กินตลอด ถ้าเค้าจับปลากินเป็นแล้ว เราก็สามารถนั่งจิบเบียร์ กินปลาไปพร้อม ๆ กันได้ น่าจะดีกว่ามั้ย? 

 

Going up on the Cloud

เมื่อวันพุธ สัปดาห์ก่อน 7 พ.ย. 61 ช่วง 3 ทุ่ม – 4 ทุ่ม ประชุมกับทีมในอเมริกาและแอฟริกาตามปกติ (ทั้งหมด 6 คน รวมผมด้วย)

เนื้อความตอนหนึ่งก็คือ ทางอเมริกา อยากจะให้พวกผมซึ่งเป็น Regional IT Manager ทำงานบริหารโปรเจคมากกว่าที่จะไปทำงาน hands on หรือก็คือให้ลดการลงไปขลุกแก้ปัญหาต่าง ๆ นั่นเอง

ประมาณว่าให้ IT Officer ในประเทศต่าง ๆ ไปทำงานส่วนนี้กันเอง ไม่ต้องให้ถึงมือพวกผมไปลงแรงเอง แนวคิดดีครับ ผมก็ชอบด้วย แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำได้จริง หรือได้เร็วแค่ไหน คงต้องประชุมวางแผนการกระจายงานกันอีกหลายรอบ…

#บนท้องฟ้ารถไม่ติด แต่ #ยิ่งสูงยิ่งหนาว เหมือนกันนะ #NoTrafficOnTheSky for #ITPro #iamSK

 

 

Windows Storage Sense กับ OneDrive File On Demand

ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะเคยเจอปัญหาที่ใช้ Windows ไปนานวันเข้าแล้วพบว่าฮาร์ดดิสค์ (Hard Disk) เริ่มจะเต็ม วิธีการทั่ว ๆ ไปที่พวกเรา ๆ ทำกันก็คือไปไล่ดูว่าเก็บอะไรเอาไว้บ้าง มีอะไรบ้างที่พอจะลบทิ้งได้บ้าง แต่มันเป็นขั้นตอนที่เสียเวลาและตัดสินใจได้ยากว่าจะเก็บอะไรเอาไว้ หรือจะลบอะไรทิ้งได้บ้าง

แต่ด้วยความสามารถของ Windows 10 ตั้งแต่ build 11720 เป็นต้นมา ที่มีความสามารถใหม่ที่เรียกว่า Storage Sense ผนวกกับความสามารถ File On Demand ของ OneDrive ทำให้การจัดเก็บไฟล์และการจัดการพื้นที่ในฮาร์ดดิสค์ของเราเปลี่ยนไป

มาเริ่มต้นการเปิดการทำงานของ Storage Sense กันก่อน ให้เข้าไปที่ Settings แล้วเลือกเมนู Storage แล้วจะพบกับตัวเลือก Storage Sense ให้เลือกเปิด (On) ขึ้นมา

 

 

เมื่อเปิด Storage Sense ให้เริ่มต้นทำงานแล้ว เรายังสามารถเลือกได้ว่าจะให้ Storage Sense ทำการตรวจสอบพื้นที่ที่เหลือในฮาร์ดดิสค์บ่อยแค่ไหน ให้คลิกที่ “Change how we free up space automatically” ซึ่งจะมีตัวเลือกเพิ่มขึ้นมาให้เราเลือกว่าให้ Storage Sense ตรวจสอบพื้นที่ฮาร์ดดิสค์ได้ตั้งแต่ทุกวัน ไปจนถึงจะตรวจสอบก็ต่อเมื่อพื้นที่ฮาร์ดดิสค์เหลือน้อยจริง ๆ

 

และด้วยความสามารถของ Storage Sense ที่จะคอยทำการตรวจสอบพื้นที่ที่เหลืออยู่ในฮาร์ดดิสค์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ผนวกกับการที่เราเอาไฟล์ต่าง ๆ ของเราเอาไปเก็บไว้ใน OneDrive ที่มีความสามารถ File On Demand ซึ่งในกรณีที่ใช้ Office 365 ที่เราจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลบน OneDrive ได้สูงถึง 1 TB เลยทีเดียว ในขณะที่พื้นที่ของฮาร์ดดิสค์อาจจะมีน้อยกว่านั้น จึงเป็น 2 ความสามารถที่ผสานการทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว

ตัวเลือกถัดมาในส่วนของ Storage Sense ที่เกี่ยวข้องกับ OneDrive File On Demand นั้น จะมีตัวเลือกที่กำหนดให้ไฟล์ที่อยู่ใน OneDrive เก็บเอาไว้ในฮาร์ดดิสค์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลากี่วัน ซึ่งกำหนดได้ตั้งแต่ 1 วันไปจนถึง 60 วัน ซึ่งถ้าไฟล์ใด ๆ ไม่ได้มีการใช้งานตามตัวเลือกวันที่เรากำหนด ไฟล์นั้น ๆ จะถูกย้ายไปเก็บเอาไว้ในพื้นที่ของ OneDrive บน Cloud เท่านั้น เพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ของฮาร์ดดิสค์ แต่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราจะยังแสดงชื่อไฟล์หรือโฟล์เดอร์นั้น ๆ อยู่ตามปกติ แต่ตัวไฟล์จริง ๆ จะเก็บเอาไว้บนพื้นที่ของ OneDrive ที่อยู่บน Cloud เท่านั้น

 

 

แล้วพอเวลาที่เราเปิดไฟล์ใด ๆ ก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในฮาร์ดดิสค์ของเรา แต่อยู่บนพื้นที่ OneDrive ที่อยู่บน Cloud เท่านั้น Windows Storage Sense และ OneDrive File On Demand ก็จะดึงไฟล์นั้น ๆ กลับมาจาก Cloud แล้วเปิดไฟล์นั้น ๆ ให้เราทันที (ความเร็วหรือช้าในการดึงไฟล์กลับมา ขึ้นอยู่กับขนาดของไฟล์และความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่คุณใช้งานอยู่)

ด้วยวิธีการง่าย ๆ แค่นี้ คุณก็จะสามารถจัดการพื้นที่ฮาร์ดดิสค์ (Hard Disk) ของคอมพิวเตอร์ของคุณให้พอกับปริมาณของไฟล์และข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้แล้ว Windows Storage Sense ยังทำได้อีกหลายอย่าง ลองทดสอบใช้งานกันดูนะครับ ถ้ามีข้อสงสัยอะไรติดต่อสอบถามกันได้ครับ ที่ iamSK at Outlook.com ครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ

 

 

เรื่องราวดี ๆ ของวันนี้ที่สถานีรถไฟฟ้าเตาปูน

เช้าวันนี้ วันที่ 15 มิถุนายน 2561 (2018) ระหว่างที่ผมยืนเข้าแถว (พร้อมจักรยาน #Brompton)  เป็นคนที่ 2 เพื่อรอขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีนำเงินที่สถานีเตาปูน มีพี่ผู้หญิงคนนึงเดินมาจากด้านหลัง แล้วยืนซองซิปล๊อคตามรูปข้างล่างนี้มาให้ผม (ซึ่งผมก็งง ๆ ในตอนแรก อะไรหว่า) พร้อมกับบอกว่า

 

“เก็บเอาไว้ให้หลายเดือนแล้ว”

 

พอผมเห็นซองนี้และสิ่งที่อยู่ในซอง ผมก็ถึงบางอ้อเลย มันคือสายรัดข้อเท้าแบบสะท้อนแสงเวลาปั่นจักรยาน ซึ่งผมจะใช้ล๊อคจักรยานไว้กับเสาข้าง ๆ ตัวเวลาอยู่บนรถไฟฟ้า แล้วผมทำมันหล่นหายตอนกำลังจะลงจากรถไฟฟ้าใต้ดินเมื่อสัก 4-5 เดือนก่อน ก็ได้แต่นึกเสียดายที่มันหายไป 1 เส้น ก็คิด ๆ ว่าจะไปซื้อใหม่มาให้ครบคู่เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสแวะไปที่ร้านสักที

มาถึงวันนี้ พี่สาวคนนี้คงจะเก็บได้หลังจากที่ผมลงจากรถไฟฟ้าไปแล้วเป็นเวลาหลายเดือนอย่างที่เธอบอก แล้วคงจะเก็บเอาไว้ในกระเป๋าถือทุกวัน รอโอกาสที่จะเจอผมอีกครั้งแล้วก็ได้เจอกันวันนี้ พอผมได้รับมาผมก็กล่าว “ขอบพระคุณมากครับพี่” พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณงาม ๆ และขอบคุณอีก 2-3 ครั้ง แล้วพี่เค้าก็เดินย้อนกลับไปเข้าแถวด้านหลังตามเดิม

 

นี่คือน้ำใจอันดีงามของคนไทยสำหรับคนที่ไม่รู้จักกันเลย ขอบพระคุณจริง ๆ ครับ

 

 

 

คุณ ๆ อาจจะมีคำถามว่าผมใช้งานมันยังไง ก็ประมาณนี้นะครับ คือคล้องกับห่วงใต้เบาะ แล้วสายไปคล้องกับเสาบนรถไฟฟ้าที่ติดกับที่นั่งข้างตัว บริเวณที่มีแผ่นกระจกกั้น เพื่อไม่ให้จักรยานขยับไปมา ตัวสายรัดนี้มีเวลโคร่ (คนไทยเรียกว่าตีนตุ๊กแก) ที่ช่วยรัดได้อย่างแน่นหนา

 

 

อีกครั้งครับ

นี่คือน้ำใจอันดีงามของคนไทยสำหรับคนที่ไม่รู้จักกันเลย ขอบพระคุณจริง ๆ ครับ

 

เป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกดี ๆ และรู้ว่าสังคมไทยยังมีคนดี ๆ อยู่อีกมากมาย เรื่องราวนี้ทำให้ผมยืนยิ้มอยู่คนเดียวระหว่างที่รอรถไฟฟ้าเลยครับ
.

ผู้คนสมัยนี้ไม่รู้จักคำว่า “ขอบคุณ” กันแล้ว

มีคนที่ไม่รู้จักผม แต่อาจจะเคยอ่านบทความที่ผมเขียนเอาไว้ เรื่องที่เกี่ยวกับ iOS หรือ iPhone บนเว็บกาก ๆ ของผม แล้วเค้าก็ส่งเมล์มาถามว่าจะทำยังไงถ้าลืม Apple ID และเปิดเครื่องไม่ได้ ผมก็แนะนำให้ติดต่อไปที่ Apple Support ที่ Singapore พร้อมแนบเบอร์โทรฯ ไปให้ด้วย

 

 
แล้วเค้าก็เมล์กลับมาถามเพิ่มเติมว่า ทาง Apple Support จะถามคำถามอะไรเค้าบ้างเพื่อยืนยันตัวตนเค้า ผมก็ตอบไป

 


ระหว่างการตอบเมล์ไปมา 2 ฉบับ ไม่มีคำขอบคุณออกมาจากอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว แล้วเมล์ที่ส่งมาก็ห้วน ๆ ใส่คำถามมาใน Subject ไม่มีเนื้อความใน Body ของอีเมล์ คำทักทาย สวัสดีคะ สักคำก็ไม่มี (รู้ว่าเป็นผู้หญิงจากคำว่า คะ Subject ที่เขียนมา) *จะเห็นว่าผมก็ไม่ได้ใช้คำทักทายเค้าเหมือนกัน ก็ทำไมหล่ะครับ ในเมื่อเค้าคือคนที่มาขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ใส่ใจที่จะใช้คำทักทาย แล้วทำไมต้องทักทายเค้าครับ


จนผมตอบกลับไปแล้ว ก็ไม่มีส่งเมล์กลับมา “ขอบคุณ” เลย ผู้คนสมัยนี้แปลกนะครับ
#สันดาน เสียหายกันไปหมดแล้ว เค้าลืมไปหรือปล่าวว่าผมไม่ได้ทำงานที่ Apple และเสียเวลาส่วนตัว, เสียค่าไฟ, เสียค่า Internet ตอบคำถามให้ฟรี ๆ


แค่พูด(หรือเขียน) คำว่า “ขอบคุณ” แล้วตอบเมล์กลับมา นี่มันยากตรงไหนวะ 

Big Data กับ Data Scientist

ภาพประกอบถ่ายจากข้างถนนแถว ๆ ชิดลม ไม่รู้ว่าใครมาเขียนเอาไว้ ดูแล้วมันคล้าย ๆ กับการสร้าง Big Data เหมือนกัน

 

ผมเริ่มได้ยินคำว่า Big Data ครั้งแรกเมื่อสัก 3-5 ปีก่อน และได้ยินมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง Big Data ในมุมมองของผม มันคือ ข้อมูลหรือฐานข้อมูลในเรื่องใดเรื่องนึง ที่เก็บรวบรวมเอาไว้ด้วยในรูปแบบใดสักแบบหนึ่ง แล้วแต่ว่ามันเป็น Data หรือข้อมูลสำหรับกิจกรรมใด แล้วคนที่ดูแลและจัดการ Big Data ก็กลายมาเป็นอาชีพใหม่ที่เรียกว่า Data Scientist ที่มีหน้าที่ในการวิเคราะห์และจัดการกับข้อมูล (Data) ที่เก็บรวบรวมเอาไว้ “แล้วนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจต่อไป”

แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง Big Data และ Data Scientist มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ถ้าเรายังพอจะจำกันได้ เมื่อไม่นานมานี้คุณอาจจะเคยได้ยินชื่ออาชีพหนึ่ง “นักสถิติ” ชื่อก็บอกว่าอาชีพนี้จะวกวนอยู่กับ สถิติ (Statistics) ซึ่งสถิติมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก Data ที่รวบรวมเอาไว้  “แล้วนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจต่อไป” เห็นมั้ยครับว่า ทั้ง Big Data และ สถิติ มันอาจจะเหมือนกันที่ต่างก็เป็นข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะเอามาวิเคราะห์เพื่อประโยชน์ในการใช้งานกันต่อไป

ดังนั้นในมุมมองของผม Big Data และ Statistics (สถิติ) มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ถูกเรียกชื่อต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม ในศาสตร์ของการจัดการ Big Data นั้นมีเทคนิคในการจัดการข้อมูลที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถข้อมูลมาใช้งานได้ดียิ่งขึ้น จึงได้มีหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัย เพื่อสร้าง Data Scientist ที่จะออกมารองรับกับ Big Data ต่อไป

อีกด้านนึงของคนที่เรียนสาขา IT ก็คงจะได้เรียนวิชา Data Mining ที่เป็นหลักการสร้างเหมืองข้อมูล “แล้วนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจต่อไป” เอ๊ะ มันคือเรื่องเดียวกันอีกแล้วใช่ไหม มันใกล้เคียงกันนะครับ เพียงแค่มันอาจจะมีเทคนิคในการจัดการข้อมูลต่างกันเล็กน้อย ดังนั้นคนที่เก่ง Data Mining ก็คงไม่ยากที่จะเรียนรู้ Data Science เพิ่มเติม เพื่อไปเป็น Data Scientist ต่อไป

สำหรับเด็กรุ่นใหม่ น่าจะเริ่มมาศึกษาเรื่อง Big Data กันมากขึ้น และผันตัวเองไปเป็น Data Scientist เพื่ออนาคตที่ดีในการทำงานในยุคของ Big Data ครองเมือง หรือถ้าคุณเป็น นักสถิติ อยู่แล้ว ก็คงไม่ยากที่จะศึกษาเรื่อง Data Science เพิ่มเติม เพื่อผันตัวเองมาเป็น Data Scientist ต่อไปนะครับ สำคัญมาก

 

**ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ

 

Apple NDA: iPhone X and Apple Park

เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ประมาณวันที่ 25 ตุลาคม 2017 ก่อนการเปิดให้จอง iPhone X อย่างเป็นทางการ Vlogger สาวชื่อ Brooke Peterson (Vlogger = Video Blogger) ได้โพสวีดีโอส่วนตัว ที่เป็นการช๊อปปิ้งกับแม่ แล้วไปหาพ่อที่ที่ทำงาน ที่เป็นสำนักงานใหญ่ของ Apple ใน Cupertino ซึ่งก็ดู ๆ ว่าเป็นวีดีการสนุก ๆ ธรรมดา ที่มีบรรยากาศตามนี้

วีดีโอของเธอถ่ายเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2017: วีดีโอของเธอก็เป็นการถ่ายตัวเองเดินช๊อปปิ้งกับแม่ของเธอ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ แล้วสุดท้ายก็เดินทางไปสำนักงานใหญ่ Apple เพื่อไปหาคุณพ่อของเธอ เจอพ่อระหว่างทาง เธอแนะนำว่าพ่อของเธอทำงานที่ Apple มีภาพบรรยากาศภายใน Apple และพ่อของเธอก็พูดถึงเรื่องสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ Apple ที่ชื่อ Apple Park เดินคุยกันแล้วแวะไปกินอาหารเย็นที่ Caffè Macs (ร้านอาหารสำหรับพนักงาน Apple) พ่อเธอควัก iPhone X ออกมาใช้ Apple Pay จ่ายค่าอาหาร ซึ่งพนักงานเก็บเงินค่าอาหารถึงกับถามว่าได้ใช้ iPhone X แล้วเหรอ พ่อของเธอก็ตอบว่าใช่ Apple ให้มา (ย้ำอีกทีว่าวีดีโอของเธอถ่ายวันที่ 15 กันยายน 2017) มีการจับภาพไปที่หน้าของพนักงานใน  Caffè Macs ที่เป็นคนเก็บเงินด้วย มีภาพการถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ แล้วก็มีการโชว์การใช้งาน iPhone X นิดหน่อย กินอาหารเสร็จทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็เดินออกมาจาก Caffè Macs ระหว่างทาง Brooke ก็พูดว่าตรงบริเวณที่นั่งข้างนอกนี้ใช้ถ่ายหนังเรื่อง Jobs มาแล้ว จากนั้นก็ขึ้นรถกลับบ้านจบวีดีโอ

วีดีโอนี้ดังมาก ๆ เพราะว่าเว็บ blog ที่เกี่ยวกับสินค้า Apple เอาไปลงกันอย่างเต็มที่ แล้ว Apple ก็ออกโรง บอกให้ Brooke เอาวีดีโอนี้ออกจาก YouTube รวมไปถึงสำนักข่าวต่าง ๆ ก็โดนหางเลขไปด้วย

แล้วสุดท้ายวันนี้เอง 29 ตุลาคม 2017 มีข่าวออกมาจากวีดีโอใหม่ของเธอ พ่อของเธอโดน Apple ไล่ออกจากงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะ NDA หรือ Non-Disclosure Agreement หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า สัญญาที่พนักงานทำไว้กับ Apple ว่าจะไม่เปิดเผยความลับใด ๆ ของ Apple หรือรวมถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับสินค้าที่ยังไม่วางจำหน่ายของ Apple

 

ก่อนที่จะเข้าเรื่องที่พ่อของเธอถูกไล่ออกจากงาน ผมขอเล่าย้อนไปเมื่อปี 2007 ตอนที่ Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone รุ่นแรก ผมได้เดินทางไปอเมริกาช่วงเดือนพฤศจิกายน 2007 และแวะไปหาพี่คนไทยที่รู้จักกันคนนึง เค้าอาศัยอยู่ในอเมริกามาหลายปี แล้วลูกชายของพี่เค้าทำงานที่ Apple อยู่ในส่วนที่ดูแลการพัฒนา iPhone เช่นกัน เค้าเอา iPhone รุ่นแรกมาให้ผมเล่น เป็นรุ่นความจุ 4GB และตัว iPhone เครื่องนั้นผลิตตั้งแต่ต้นปี 2007 (iPhone รุ่นแรกจะสามารถดูช่วงการผลิตได้จากเลข Serial Number) ซึ่งก็หมายความว่า iPhone เครื่องนั้น ผลิตขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ Steve Jobs เปิดตัว iPhone เมื่อเดือนมกราคม 2007 ในงาน Mac World 2007

และที่เด็ดไปยิ่งกว่านั้น iPhone 4GB ตัวนั้น สามารถใช้งานเครือข่ายมือถือใด ๆ ก็ได้ ไม่ล็อคให้ใช้งานได้แค่ AT&T อย่างที่ควรจะเป็น ตอนนั้นเค้าใช้เครือข่าย T-Mobile ผมเองก็ได้ลองเอา Sim จากเมืองไทยของผมใส่เข้าไปก็สามารถใช้งานได้ และผมยังได้คุยกับเค้าเพิ่มเติมถึงวิธีการที่ Apple จะ Lock หรือ Unlocked เครื่อง iPhone นั้นทำงานอย่างไร เป็นระบบที่ทำงานง่าย ๆ เค้าเล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือก และเค้าก็ชวนผมไปที่ Caffè Macs เช่นเดียวกัน เลี้ยงข้าวมือเย็นผมด้วย

แต่ย้อนไปนิดนึงก่อนการพูดคุยกันทั้งหมด เค้าเตือนผมก่อนเลยว่าสิ่งที่คุยกันทั้งหมดห้ามเปิดเผย ห้ามถ่ายรูปเค้า ห้ามเปิดเผยเลข Serial Number ของเครื่อง iPhone ของเค้า (ผมถ่ายรูป iPhone เครื่องนั้นมาด้วย พร้อม Serial Number) ห้ามถ่ายรูปบรรยากาศใน Apple และ Caffè Macs ผมก็รับปากและทำตามนั้นมาตลอดจนถึงปี 2017 นี้ผมก็ยังเก็บไว้เป็นความลับ เพราะตัวเค้าเองก็ต้องเซนต์ NDA กับ Apple เช่นเดียวกัน มีอะไรหลุดไปนิดเดียว Apple สาวถึงตัวเค้าได้ไม่ยาก

 

กลับมาที่เรื่องของ Brooke และพ่อของเธออีกที แน่นอนว่าพ่อของเธอจะต้องเป็นพนักงานระดับสูงคนนึงทีเดียว ที่จะสามารถมี iPhone X ใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2017 (ตามวันที่ในวีดีโอของ Brooke) ซึ่งเป็นเวลาแค่ 3 วันหลังจากที่ Apple มีงานเปิดตัว iPhone X แต่อย่างไรก็ตาม กว่าที่ Brooke จะปล่อยวีดีโอของเธอออกมาก็เป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม ในวันที่ 25 ตุลาคม ก่อนวันเปิดให้จอง iPhone X 2 วัน ซึ่งดู ๆ แล้วก็คล้าย ๆ กับว่า Apple น่าจะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรืออย่างไร ถึงได้ปล่อยให้มีวีดีโอนี้ออกมา เพื่อสร้างกระแสก่อนการเปิดให้จอง iPhone X อย่างเป็นทางการ

แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น พ่อของ Brooke โดน Apple ไล่ออกภายใน 2 วันหลังจากที่วีดีโอนี้เปิดตัวออกมา และดังไปทั่วโลก นี่คือผลพวงของ NDA ที่พ่อของ Brooke ที่ไม่น่าจะเป็นพนักงานระดับล่าง น่าจะเข้าใจดีถึง NDA ที่เค้าเซนต์เอาไว้กับ Apple เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นที่รูักันว่า Apple เป็นบริษัทที่หวงเรื่องความลับของสินค้า(ที่ยังไม่เปิดตัว) และเรื่องราวภายในต่าง ๆ ของ Apple แม้กระทั่งภาพบรรยากาศภายในของ Apple เองก็ไม่ใช่ว่าจะมีการเปิดเผยกันให้เห็นกับคนภายนอกได้

แม้แต่วีดีโอ Keynotes วันเปิดตัว iPhone X ซึ่งในระหว่างการถ่ายทอดสด จะมีภาพบรรยากาศของเหล่านักข่าวเดิินเข้าไปใน Steve Jobs Theater ที่เป็นสถานที่จัดงาน มีภาพบรรยากาศของ Apple Park ที่เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ Apple ด้วย แต่พอ Apple ปล่อยวีดีโอ Keynotes ให้ดาวน์โหลดในภายหลัง กลับตัดภาพบรรยากาศภายใน Apple Park ออกไปจนหมด นี่เป็นการยืนยันได้ว่า Apple นั้นให้ความสำคัญกับความลับของภาพภายในบริษัทมากน้อยเพียงใด

อีกตัวอย่างหนึ่ง ผมได้มีโอกาสแวะไปที่ Apple Store หลายสาขาทั้งในอเมริกา, ฮ่องกง และจีน ทุกครั้งก่อนที่ผมจะถ่ายภาพในร้าน ผมจะถามพนักงานในร้านก่อนว่าถ่ายได้หรือไม่ เค้าก็จะตอบเหมือนกันว่า ถ่ายได้ แต่ห้ามถ่ายเจาะจงไปที่พนักงานโดยตรง ห้ามตั้งใจถ่ายภาพพนักงานระหว่างทำงานหรือคุยกับลูกค้า ถ่ายรวม ๆ แล้วติดพนักงานอยู่ในนั้นไม่เป็นไร ผมก็เคารพกฎนี้โดยดี

สุดท้าย คนที่พลาดเองก็คือพ่อของ Brooke เค้าน่าจะรู้ดีกว่าการที่ให้ลูกสาวถ่ายภาพบรรยากาศภายในของสำนักงานใหญ่ของ Apple ถ่ายติดพนักงาน Caffè Macs และยังคุยกันกับเค้าอีกด้วย เป็นประเด็นหลักที่ทำให้เค้าโดน Apple ไล่ออก ประเด็นเรื่องการเปิดเผย iPhone X นั้นคงเป็นเรื่องรอง เพราะว่าได้มีเว็บต่าง ๆ ที่ได้มีโอกาสสัมผัส iPhone X ในวันเปิดตัว ได้ถ่ายวีดีโอลงเว็บกันมากมายแล้ว และมีประเด็นในเว็บบล๊อคต่างประเทศว่ากันว่าใน Notes ที่ Brooke โชว์ให้ดูมีข้อมูลบางอย่างที่สำคัญที่ห้ามเปิดเผย ผมพยายามดูแล้ว ก็พบว่าวีดีโอของ Brooke นั้นไม่ชัดพอที่จะพออ่านออกว่าเป็น Notes เกี่ยวกับอะไร ประกอบกับ Brooke เองก็ฉลาดพอที่ไม่ได้ปล่อยวีดีโอนี้ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ถ่ายวีดีโอนี้ (3 วันหลังจาก Apple เปิดตัว iPhone X) ประเด็นเรื่องตกงานเพราะเปิดเผยเรื่อง iPhone X ก็น่าจะตกไป เป็นเรื่องของการเปิดเผยภาพภายในสำนักงานใหญ่ของ Apple เป็นหลัก

สุดท้าย เรื่องนี้เป็นการสอนให้รู้ว่า ความลับต่าง ๆ ขององค์กร ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่ใครก็จะเอามาโพสลงวีดีโอกันได้ การทำการใด ๆ ที่จะเป็นการเปิดเผยข้อมูลความลับของบริษัทหรือองค์กร ควรจะต้องขออนุญาตกับองค์กรหรือบริษัทให้ดี ๆ ตัวอย่างนี้คือตัวอย่างที่ดีนะครับ ฝากไว้…

Link: RedmondPie.com

 

Microsoft Mechanics T-Shirt

นี่คือเสื้อเท่ห์ ๆ ของ Microsoft Mechanics ที่ผมได้มาตอนไปร่วมงาน #MSIgnite 2017 ที่โอแลนโด ฟอริดา สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกันยายน 2017 ที่ผ่านมา เสื้อนี้ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ เดินไปมาแล้วเค้าแจกนะครับ คือว่าไม่เห็นเค้าแจกด้วยซ้ำ แล้วผมได้มาได้ยังไง?

ที่งาน Microsoft Ignite 2017 มีเวที Microsoft Ignite Studio ที่จะมีการอัดวีดีโอและถ่ายทอดสด รายการ Microsoft Mechanics ที่เป็นวีดีโอพูดคุยและแนะนำเทคโนโลยต่าง ๆ ของ Microsoft (twitter.com/MSFTMechanics) ตอนจบของแต่ละช่วง จะให้คนฟังส่งใบชิงรางวัล Surface Notebook 1 เครื่อง ซึ่งโกลาหลเกิดขึ้นตรงนี้ คนฟังน่าจะเกิน 200 คนในแต่ละช่วง กรูกันเข้าไปที่กล่องส่งใบชิงรางวัล ที่วางเอาไว้ตรงเวที และมีแค่กล่องเดียว ทำให้เกิดการจราจรที่ติดขัด

photo credit: Microsoft Mechanics’s twitter

วันแรกของงาน ผมนั่งฟังอยู่ 2-3 รายการ ตอนเกิดความรำคาญที่เห็นคนรุมกันเข้าไปที่เวทีทุกครั้ง ก็เลยเดินไปคุยกับคนดำเนินรายการ ชื่อ Zachary แล้วบอกเค้าว่า ทำไมไม่เอากล่องชิงรางวัลออกมาวางไว้ด้านข้าง ๆ ที่โล่ง ๆ แทน คนจะได้ไม่แออัดกันเวลาส่งกระดาษชิงรางวัล เค้าก็อือ ๆ Thank you 3 Times. (ฮ่า ๆ ) คุยกันต่ออีกแป๊บนึง ผมก็ขอตัวไปฟังหัวข้ออื่น ๆ เพิ่มเติม

วันต่อมา ผมเดินมาที่ Microsoft Ignite Studio อีกครั้ง เพื่อฟังหัวข้ออื่น ๆ ที่ผมสนใจ ได้เจอกับ Zachary อีกครั้ง นี่คือประโยคสนทนา หลังจากทักทายกันแล้ว

Zach: ยูเห็นมั้ย ฉันเอากล่องชิงรางวัลออกมาตั้งข้างนอกแล้ว แล้วไม่ใช่แค่กล่องเดียวนะ 2 กล่องเลยนะ วางไว้ทั้ง 2 ข้างของเวทีเลย

SK: เอ่อ เจ๋งเป้งเลย Zach ขอบคุณมากที่ยูรับฟังความเห็นจากผม

Zach: เฮ้ SK ยูใส่เสื้อเบอร์อะไรฟะ ไอจะไปเอาเสื้อเท่ห์ ๆ มาให้ยูใส่เล่นสักตัว

SK: ขอเบอร์ L ละกันนะ

Zach: เฮ๊ย อย่าเลย หุ่นดี ๆ อย่างยู เอาเบอร์ M ก็พอแล้ว (แล้วเค้าก็เดินไปหยิบเสื้อจากหลังเวทีมาให้)

SK: โอ๊วววว ขอบคุณหลาย ๆ ครับ แต่ขอ Surface Notebook ด้วยดิ

Zach: มากไปมั้ง SK (ฮ่า ๆ อันนี้ผมเติมเอง)

…. พูดคุยกันอีกนิดหน่อย เค้าก็ขอตัวไปดำเนินรายการต่อ

นี่คือสิ่งดี ๆ ของการเป็นคนปากมาก เห็นอะไรขัดตาแล้วก็พูดและบ่นไปซะ ฝรั่งเค้ารับฟังแล้วเอาไปปรับแก้ด้วย ไม่ใช่แค่ฟังผ่าน ๆ ไป

และไม่ใช่แค่นั้น วันสุดท้ายของงาน Microsoft Ignite 2017 (ผมใส่เสื้อตัวข้างบน) ผมและทีมงาน IT ขององค์กรผมอีก 4 คน ยืนคุยกันอยู่ด้านนอกห้องประชุมที่อยู่ใกล้ ๆ Microsoft Ignite Studio ตามข้างต้น มีคุยเรื่องเสื้อที่ผมใส่อยู่ด้วย เค้าถามว่าผมได้มาได้ยังไง ผมก็อธิบายไป คุยกันอยู่พักใหญ่ อีตา Zachary เดินผ่านมาพอดี ผมก็เลยส่งเสียงทักทายไป เค้าก็เลยเดินมาคุยกับพวกผมทั้งกลุ่ม และแน่นอนก็เลยถามว่าเสื้อยังมีเหลืออีกมั้ย เค้าบอกว่า เฮ๊ยมีสิฟ่ะ เดี๋ยวไปเอามาให้นะ สรุปว่า วันนั้นอีก 4 คนได้เสื้อ Microsoft Mechanics กันครบทุกคนแบบง่าย ๆ เพราะจากการปากมากของผมตามข้างต้น

Thank you 3 times…. ^___^

 

 

 

“Hug Me”

photo credit: Hug Me T-Shirt

วัฒนธรรมการกอดเวลาพบเจอหรือลาจากของเพื่อนหรือคนรู้จัก เป็นวัฒนธรรมของทางตะวันตก คนในเอเชียอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยมากนัก โดยเฉพาะกับผู้หญิง เพราะก็มีบ้างที่คุณ ๆ ผู้ชายบางคนอาจจะตั้งใจกอดแบบหวังผล หรือถือว่าเป็นการได้กอดผู้หญิง มีเรื่องของการเอาเปรียบทางเพศแอบแฝงอยู่ในจิตใจลึก ๆ จึงทำให้ผู้หญิงเอเชียหลาย ๆ คนขยาดที่จะกอดแบบฉันท์มิตรกับผู้ชาย

ผมได้เห็นด้วยตาตัวเองล่าสุดเมื่อครั้งที่ไปร่วมงานแม่โขงไอซีทีแคมป์ ที่เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ระหว่าง 1-10 กันยายน 2560 (www.mekongict.org) วันสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันกลับที่หน้าโรงแรม มีหนุ่มเวียตนามคนนึง พุ่งตรงไปทำท่าจะกอดเพื่อลากับสาวชาวกัมพูชาคนนึง สาวคนนั้นถึงกลับถอยหลังกลับในทันที ทำเอาหนุ่มคนนั้นเหวอไปเหมือนกัน ไม่ได้แม้แค่จะจับมือกับสาวคนนั้น ^__^ ถ้าเป็นผมก็คงจะเหวอเหมือนกัน

แต่ในทางกลับกัน ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดีกว่าคนอื่นหรืออย่างไร แต่เพื่อน ๆ ที่เป็นผู้หญิงคนเอเชียที่รู้จักผม เค้าไม่ตะขิดตะขวงใจเลยที่จะโอบกอดกับผมเมื่อพบกันหรือลาจาก อาจจะเป็นเพราะว่าผมแสดงกริยาชัดเจนกับทุกคนว่า ผมไม่ได้ต้องการล่วงละเมิดหรือมีความคิดอื่นใดแอบแฝงกับพวกเธอ เป็นการโอบกอดกันแบบมิตรภาพจริง ๆ ….. ดังนั้น เพื่อน ๆ ครับ ถ้าเจอผมก็ไม่ต้องกลัวนะครับ กอดได้ครับ…… ^__^

#Hugs #HugMe #MKICT